เซ้ง คลินิกทันตกรรม The Story
ที่มา
เรื่องเล่าทั้งหมดนี้ จัดทำขึ้นเพื่อฉลองเวปไซด์ใหม่ของธุรกิจทันตกรรมชื่อเวป Startup Dental Clinic เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผม (หมอมด – Admin เพจ ธุรกิจทันตกรรม)
เนื้อเรื่องที่เล่าทั้งหมดต่อไปนี้เคยเผยแพร่มาแล้วในเพจธุรกิจทันตกรรมช่วงมีนาคมถึงพฤษภาคม 2561 และได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้อ่าน
หลายท่านที่ไม่ได้ติดตามอ่านในช่วงที่โพสนั้นพอจะมาอ่านก็พบความยากลำบากเพราะโพสในเฟสบุ้คมันย้อนดูบทความเก่าๆไม่สะดวกผมจึงรู้สึกเสียดายถ้าเนื้อหาเหล่านี้ถูกดูดกลืนหายไปกับ Information overload ของยุค 4.0 จึงมีความคิดที่จะนำมาจัดเรียงให้คงอยู่สืบหาและอ่านได้ง่ายขึ้นดังที่ทุกท่านกำลังอ่านอยู่นี้
เพื่อคงอรรถรสในการอ่านผมจึงไม่ได้ดัดแปลงหรือแก้ไขเนื้อหาเก่ายังคงสภาพเดิมๆของต้นฉบับไว้โดยแก้ไขคิดผิดแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เนื้อหาเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับผมในอดีตที่เป็นหมอฟันจบใหม่ใสกิ๊กที่มา “เซ้งคลินิกทันตกรรม” และบริหารทุกอย่างแบบตายเอาดาบหน้าเหมือนเดินเข้าป่าแบบไม่พกเสบียงไม่พกปืนแต่โชคดีที่ผมออกจากป่าลับแลอันนั้นได้แม้จะล่าสัตว์ไม่ได้เลยสักกะตัว
ผมไม่แนะนำให้ยึดเป็นมาตรฐานหรือบรรทัดฐานใดในการใช้เพื่ออ้างอิงการเซ้งคลินิกทันตกรรมทั้งหมดเป็นเพียงการแชร์เรื่องที่เกิดเป็นความคิดเห็นและข้อคิดเพียงเท่านั้น
ขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ
ทพ.อภิชาติ ลีนานุรักษ์ (หมอมด)
Admin เพจ ธุรกิจทันตกรรม
1
พูดการ “เซ้งคลินิก”
คลินิกแรกที่ผมมีโอกาสบริหารในฐานะเจ้าของคลินิก
มาจากการ “ซื้อคลินิกต่อจากคนอื่น”
ภาษาชาวบ้านคือ การเซ้งคลินิก
เริ่มจากที่ผมลาออกจากราชการ ก็เริ่มมองหาที่ทำงาน ก็ไล่ดูตามกระทู้ในเวปบอร์ด
สมัยผมจบใหม่ (พศ.2549) ยังไม่มีเวป work4dent แต่จะมีเวปบอร์ดชื่อ satabun เป็นเสมือนพันธิปของหมอๆเรา นอกจากจะใช้เป็นที่คุยเรื่องวิชาการและประสบการณ์ ยังเป็นที่ใช้รับสมัครหมอและเซ๊งคลินิกด้วย
สำหรับหมอฟัน….ทางเลือกสำหรับงาน…ก็มีแค่สองทาง คือ เป็นมือปืน หรือเจ้าของคลินิก
แน่นอนที่ง่ายที่สุดคือการเป็นมือปืน เพราะไม่ต้องลงทุน ไม่มีความเสี่ยง
อีกหนทาง คือ เปิดคลินิกเอง ตอนนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเงินเก็บมีกระจิ๊ดเดียว และคงมีปัญญาที่จะซื้อได้แค่ยูนิต 1 ตัว
ในหัวผมตอนนั้น มีแต่จะหาที่ทำงานใกล้ๆแฟน บังเอิญเห็นกระทู้เซ้งคลินิกก็เลยสนใจ
เซ้งคลินิกราคาถูก 4 แสนบาท
เอ้ย !! 4 แสนเองหรือ
นี่ถ้ามีเงินสด 4 แสน ก็เป็นเจ้าของคลินิกได้ ?
ถ้าราคาของการเป็นเจ้าของคลินิกมันถูกขนาดนั้น แล้วจะไปเป็นมือปืนทำไม ? เป็นความคิดที่แว๊ปเข้ามาในหัว
ผมอ่านกระทู้อย่างละเอียด ดูซิว่าแค่ 4 แสนจริงๆหรือเปล่า
พออ่านก็โอเคเลยครับ
คลินิกอยู่ใกล้มหาลัย
ใกล้แหล่งท่องเที่ยว
ยูนิต 1 ตัว
เอ๊กเรย์ ติดผนัง 1 ตัว
ออโต้เครฟ 1
และของอื่นๆ ที่เป็นพื้นฐานครบถ้วนสำหรับการทำฟัน
โอเคขนาดนี้ แล้วต้องคิดอะไรมากอีก ??
สุดท้าย อยากจะบอกว่าการเซ้งมีทั้งข้อดีข้อเสีย
ผมดูเบอร์โทร แล้วก็โทรไปทันที (กลัวมีคนตัดหน้า)
เดี๋ยวมาเล่าต่อ
2
ก่อนที่จะโทรศัพท์ไปคุยกับคุณหมอเจ้าของคลินิกเพื่อที่จะถามรายละเอียด ผมก็แอบถามความคิดเห็นคนอื่นมาเหมือนกัน
ความรู้ด้านธุรกิจทันตกรรมของผมคือ 0 ผมก็เลยต้องถามผู้หลักผู้ใหญ่ที่สนิทๆ ว่าเขามีความเห็นยังไง …
คนแรกคือ พี่หมอ บ. (ขอใช้ชื่อตัวย่อละกัน)
พี่ บ. แบ๊กกราวน์ด้านการเป็นหมอฟันแก่ไม่ได้เด่นอะไร แต่ที่แกรอบรู้ และเจ๋ง คือแกเป็นนักธุรกิจด้วย
คือชอบทำธุรกิจเล็กๆน้อยๆ เต็มไปหมด คอนเน็กชั่นเยอะตั้งแต่พ่อค้ายังข้าราชการ และ สาวไซด์ไลน์ ตามผับ
ผมเล่าให้แกฟังว่ามีร้านเซ้งราคา 4 แสน และได้อะไรบ้าง (ตามเนื้อหาในกระทู้ประกาศในเวป satabun)
แกบอก คุ้ม
คือ แกให้ความเห็นว่า 4 แสนถือว่าเป็นเงินที่น้อยมาก และต่อให้เจ๊งก็ยังได้ของ มีตั้งยูนิต เอกเรย์ ออโต้เครฟ เราก็ขายทิ้ง สุดท้ายถึงขาดทุนก็คงไม่เท่าไหร่
และในโลกของการทำธุรกิจจริงๆ การลงทุนด้วยเงินสี่แสนถือว่าน้อยมาก ธุรกิจอื่นลงทุนกันเป็นล้าน และไหนจะต้องยอมขาดทุนในช่วงแรกๆและเอาเงินสดที่สำรองไว้มาหมุน บางธุรกิจใช้เวลาเป็นปีกว่าจะถึง Break even point (จุดคุ้มทุน)
แถมธุรกิจทำฟันไม่มีความเสี่ยง นายเฝ้าเอง ถึงยอดน้อยก็ยังได้เงินสดทุกวัน แกแนะนำว่าถ้าสี่แสนกับการเป็นเจ้าของร้านถือว่าโอเค ดีกว่าไปเป็นมือปืน
อีกประเด็นที่ผมมีปัญหาคือ ผมมีเงินสดไม่ถึงสี่แสน…..
ผมถามพี่หมอ บ. ว่า พี่บอกว่าสี่แสนมันน้อย แต่สำหรับหมอฟันจบใหม่เพิ่งเก็บตังค์มันเยอะนะเว้ย >< ถ้าเจ๊งผมก็บ่ม้วนเด้อ
พี่หมอ บ.บอก เอ็งก็ต่อรองกะเขาดิ ว่าขอลดราคา….
ผมบอก เขาให้ราคาถูกละไปต่อมันน่าเกลียดป่าวอะ ผมไม่อยากให้เขามองว่าผมเป็นหมอขี้งก
พี่หมอ บ. บอก เอ็งนี่แปลก มีเงินน้อยแต่อยากสปอต ….. เอางี้ ไปต่อรองขอเขาผ่อนได้ไหม หมอฟันด้วยกันไม่น่าจะคุยยาก พี่ว่าเขาไม่น่าใช่คนงี้งก ไม่งั้นตั้งราคาเซ๊งแพงกว่านี้ไปแล้ว ๕๕๕๕
และผมก็ทำแบบนั้นจริงๆ ครับ
ส่วนคุณหมออีกท่านคือ พี่หมอ อ.
พี่หมอ อ. ท่านอายุเยอะละ เปิดคลินิกมานานเป็นสิบๆปี ผมเป็นมือปืนด้วยตอนเย็นๆหลังเลิกราชการ ท่านเป็นคนที่ผมเคารพมาก เวลามีปัญหาอะไรในชีวิตผมก็มักจะปรึกษาท่านและท่านก็ให้คำแนะนำที่ดีมากๆเสมอมาจนถึงทุกวันนี้
พี่หมอ อ. ฟังแล้วบอกว่า
อย่าไปเซ้งเลย เก็บเงินสร้างคลินิกของตัวเองดีกว่า และบอกให้ผมใจเย็นๆ
ผมฟังละเฉยๆ ได้แต่บอกว่า ครับ ขอบพระคุณครับ
เพราะในใจผมมันเอียงไปทางความเห็นพี่หมอ บ. ไปแล้วไง อิอิ
3
กลับมาที่ผมโทรศัพท์ นะครับ
อีกฝั่งดูใจดี คุยง่ายมาก แกบอกว่าอยากดูคลินิกเมื่อไหร่ก็มาบอก เดี๋ยวให้เด็กเอากุญแจไปเปิดคลินิก
ผมก็งง อ่าว ตอนนี้คลินิกปิดอยู่หรือ ?
ใช่ ปิดมาสองเดือนแล้ว แต่ก็เปิดอยู่เดือนละ 2 วันเพราะหมอจัดฟันยังต้องมา ที่เป็นแบบนี้เพราะหาหมอมาลงไม่ได้
สาเหตุที่แกเซ้งก็เพราะมัน 3 คลินิกละดูแลไม่ไหว ก็เลยตัดสินใจเซ้งอันนี้ไป ส่วนหนึ่งเพราะขี้เกียจเดินทางแล้วด้วย เพราะย้ายที่อยู่ใหม่ และพอหาหมอมาลงไม่ได้ก็เลยลำบากในการจัดการ
ผมกลืนน้ำลายดังอึก แล้วหน้าด้านขอผ่อนเงินค่าเซ๊ง 4 แสน กับคุณหมอที่เพิ่งคุยได้ราวสองนาที และไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน
ปรากฎว่าแกโอเค แกขอให้ผมจ่ายก่อนครึ่งนึง และผ่อนที่เหลือตามที่ไหว
ผมขอแก ผ่อนเดือนละหมื่นได้ไหม ?
แกโอเค
โอ้ว ใจดีฉิบหาย !
ผมนัดวันให้แกบอกเด็กเพื่อไปเปิดคลินิกให้ผมเยี่ยมชม
ตามมารยาท ผมขอเขาซะขนาดนี้แล้วถ้าไม่เอาก็หมาแล้วละครับ
และคุณหมอเขาบอก น้องมาดูคลินิกก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีก็ได้
โห…คนไรวะใจดีฉิบเป๋ง นี่ผมคุยโทรศัพท์กับพระเวสสันดรหรือเปล่าเนี่ย….
เดวมาเล่าต่อนะครับ
4
ตอนแรกกะมาแชร์แค่มุมมอง ข้อดี-ข้อเสีย ของการเซ้งร้าน ไปๆมาๆ กลายเป็นเล่าประสบการณ์ชีวิตซะงั้น
เช้าวันธรรมดาวันหนึ่ง ผมยืนอยู่หน้าคลินิก (ที่ผมตัดสินใจ 80% ว่าจะเซ๊ง)
เป็นห้องแถวขนาดหน้ากว้าง 4 เมตร สามชั้น
ประตูเหล็กถูกยกขึ้นครึ่งหนึ่ง แสดงว่ามีคนมาเปิดคลินิกรอการมาของผมแล้ว
ผมถือวิสาสะก้มลอดประตูเหล็กแล้วเปิดประตูกระจกเข้าไป
สิ่งแรกสุดที่ผมสัมผัสข้างในคลินิก คือกลิ่นเหม็นอับ
เป็นกลิ่นอับกลิ่นเดียวกับเวลาที่เราเปิดห้องเก็บของ ที่ไม่ได้เปิดมาเป็นแรมเดือน
ผมพบผู้ช่วยของเจ้าของคลินิกกำลังถูกพื้นอย่างกุลีกุจอ แกบอกว่าขอโทษด้วยที่ฝุ่นเยอะ ปกติจะมาเคลียร์และทำความสะอาดเฉพาะวันที่มีหมอมาลง (จัดฟัน)
เขาพาผมเดินไปทั่วคลินิก เพื่อสำรวจอุปกรณ์ ของในคลินิกแตกต่างจากที่ผมคิดไว้ในใจพอสมควร
เฟอร์นิเจอร์ ไม่ใช่บิ้วอิน เป็นประเภทอุปกรณ์สำนักงานมาวางๆ ทั้งเคาเตอร์ และชั้นวางของ สภาพเริ่มเก่าแต่ใช้งานได้ดี
ยูนิตกรอบพลาสติกสีซีดเหลือง แต่ function ได้ครบ
มีอุปกรณ์บางอย่างเก่าชนิดผมใช้ไม่เป็น เช่น เม็ด amalgam ที่ต้องหยดน้ำปรอทใส่ capsule ก่อนนำไปปั่น
ถึงจะค่อนข้างเก่า แต่ก็ถือว่าครบ
แต่จะเอาอะไรมากมายกับการเซ้งในราคา 4 แสน ละ ? ถ้าของที่มีแพงและใหม่กว่านี้ ราคาเซ๊งต้องสูงกว่านี้แน่
บทเรียนที่ผมได้
ข้อ 1
ถ้าราคาที่ตั้งเซ้งไว้ถูก อุปกรณ์และของ ย่อมถูกตาม
ผมตรวจการใช้งานอุปกรณ์ทุกอย่าง ก็โอเคนะครับ เสียบปลั๊ก ใส่ถ่าน ก็ทำงานได้ดี
ผมโอเคกับของ กับทำเล การตกแต่ง รับได้หมด แต่สิ่งที่ยังไม่มั่นใจคือ
จะมีคนไข้เยอะแค่ไหน ?
แถมคลินิกก็ปิดมาระยะหนึ่ง … จะสร้างผลกระทบอะไรไหม ?
ผมลาน้องผู้ช่วยกะว่าจะนั่งจิบคาราเมลลาเต้นั่งคิดอีกสักสองวัน
จังหวะที่เปิดประตูกำลังจะเดินออกไป พอดี มีใครก็ไม่รู้ทำท่าจะเข้ามาพอดี
“วันนี้คลินิกเปิดไหม จะมาทำฟัน”
โอ้ว ขนาดปิดประตูเหล็กลงมาครึ่งนึง ยังมีคน walk in ฝ่าเข้ามาเพื่อจะทำฟันเลยหรือเนี่ย !
ผมยกโทรศัพท์โทรหาพี่เจ้าของคลินิก
“พี่ครับ ขอหมายเลขบัญชีหน่อย จะโอนมัดจำ”
เนี่ยแหละครับนิสัยเสียของผม
ใจร้อน…..
5
หลังจากวางเงินก้อนแรกที่เก็บหอมรอมริบจากการทำงานราชการ + เป็นมือปืน
ผมก็เหลือเงินติดกระเป๋าไม่มาก
เหมือนจะเหลือสัก 1 แสนกว่าๆ เท่านั้นเอง
สองปีที่รับราชการ ผมใช้เงินค่อนข้างสุรุ่ยสุร่าย
เป็นอาการเก็บกดจากคนที่ไม่เคยมีเงินเป็นของตัวเอง พื้นเพที่บ้านคือพ่อแม่เป็นข้าราชการ เงินต่อเดือนผมได้แค่พอดีใช้
ผมทานร้านอาหารที่ชื่อฟูจิ เป็นครั้งแรกตอนที่ผมทำงานไปแล้วราว 3 เดือน (ตรงกันข้ามกับเพื่อนหมอฟันในรุ่นที่ได้ลิ้มรสมันตั้งแต่ใส่ชุดนักศึกษา)
อร่อยและแพงฉิบหาย
ผมซื้อดะ
กล้องถ่ายรูป เลนส์ tele 70-200 2.8L บ้องขาวๆใหญ่ๆ แค่ถือก็เท่ห์แล้ว
โน้ตบุ้ค
คอม PC แรมเยอะๆไว้เล่น DotA
มอเตอร์ไซด์ทรง big bike
อะไรที่เคยอยากได้ผมทะยอยซื้อจนครบ list โชคดีที่ผมยังไม่อยากได้รถยนต์กับบ้าน ไม่งั้นคงไม่มีเงินสดมาเซ๊งคลินิกอะไรแบบนี้
จะบอกว่าเงินสามแสนกว่าบาทที่ผมเก็บ ผมเพิ่งมาตั้งใจเก็บก่อนลาออกราว หนึ่งปี
คือชีวิตหมอฟันช่วงต้นผมปราศจากการวางแผน เน้นสนุกไปวันๆ มันทำให้ผมไม่เคยวางแผนทางการเงิน
แต่พอเริ่มมีแผนจะลาออก และเซ๊งคลินิก ผมก็เลยเริ่มประหยัดและตั้งใจเก็บเงิน
6
ภาระกิจแรกหลังจากเป็นเจ้าของคลินิก คือ หาผู้ช่วย
ผมถือว่าโชคดีที่ได้น้องคนนึงมาเป็นผู้ช่วยตั้งแต่แรกๆ เป็นคนขยัน ว่านอนสอนง่าย ไม่เรื่องมาก
แต่ไม่รู้เรื่องการเป็นผู้ช่วยเลย
นั่นเป็นถือเป็นภาระพอสมควร ที่ผมจะต้องมาสอนการสะเตอ ราย และการช่วยข้างยูนิต
แต่โชคดีเป็นระลอกสอง คือ ผู้ช่วยคนถัดมาที่ผมรับ มีประสบการณ์มากก่อน คนนี้ช่วยผมได้มากๆๆๆๆ
……ภาระกิจที่สอง คือ รีโนเวตคลินิกเพื่อเปิดทำการ
เช่นการทำความสะอาด และซื้อของมาเติมในร้าน เพื่อจะพร้อมแก่การทำการ
ผมก็ทำเองนะ ลงไปขัดพื้น กวาดหยากไย่ ซื้อต้นไม้มาประดับหน้าคลินิก
มีวันนึง ที่ผมขัดเจ้าประตูเหล็กหน้าคลินิก (ฝุ่นจับจนประตูสีขาวกลายเป็นประตูสีดำ) มีคนเดินมาถามเป็นระยะ
“วันนี้เปิดไหม”
“จะทำฟัน…วันนี้เปิดหรือเปล่า”
“ที่นี่จัดฟันไหม”
ผมบอกกับแฟนว่า ตัวเอง คลินิกเราทำเลดีวะ มีแต่คนมาถามทำฟัน เราต้องรีบเปิดแล้ว !!
แต่พอเปิดคลินิกจริงๆ คนที่เคยมาถามๆทั้งหลายไม่รู้หายไปไหนหมด …..
เดี๋ยวมาเล่าต่อ ช่วงดำเนินกิจการช่วงแรกๆ
7
4 แสนบาท ก็เป็นเจ้าของคลินิกได้แล้ว
ถึงเจ๊งก็เจ็บไม่เยอะ ข้างของที่ได้ก็ขายทิ้งทอดตลาดได้
บวกกับช่วงก่อนเปิดคลินิกมีคนมาทักทายจะมาทำฟันก็เลยฮึกเหิม มั่นใจว่าได้ของดี(คลินิก)ราคาถูก
ชีวิตหมอฟันเอกชนของเรานี่เริ่มต้นได้สวยงามแท้
ตอนนั้นคิดแค่นี้จริงๆ
(คิดสั้นๆ นั่นแหละ)
…….
บทเรียนที่ 2
เซ้ง(จ่าย)ไปแค่ไหนไม่ได้จบแค่นั้น
……..
พอเปิดคลินิกสักพัก อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆที่เราเคยตรวจเช็คว่าอยู่ในสภาพที่ใช้ได้ ผมลืมคิดไปว่า มันจะต้องมีวันซ่อม….
และมันทะยอยมาถึงในเวลาอันสั้น….
ยูนิตที่พร้อมใช้ ณ วันตรวจรับ 2 เดือนต่อมาหลอดไฟขาด
ยูนิตมีตัวเดียวซะด้วย….
กว่าจะหาหลอดไฟสำหรับยูนิตได้ก็ปาไปสองวัน ใช้ไฟฉายส่องแทน … ดูละอนาถมากๆ
สักพักระบบซักชั่นเสีย…. ให้ผู้ช่วยใช้หลอดดูดน้ำแทน ก็เกรงใจ…
ยางซีลประตูออโต้เครฟเสื่อม…ยางเส้นละ 3500
แพงกว่ายางมิชิลินอีก…. ยางรถยนต์ 4 แสนยังไม่ถึงหมื่นเลย…
เครื่องปั่นอมัลกัม…สายพานขาด … อันนี้ยังเบาๆเพราะหนีไปใช้ composit อุดฟันแทนได้
เครื่องปั้มน้ำหลังบ้าน ช๊อต … ซื้อใหม่ …
ทำให้ผมทุกวันนี้ ผมจะไม่อยากใช้ของมือสองที่สภาพเก่าเกิน 1 ปี
เพราะเรียนรู้แล้วว่า ของ low cost มี hidden cost ที่แพง
สมมุติยูนิตเสียจนทำฟันไม่ได้ อย่าลืมว่าค่าเสียโอกาสที่ไม่สามารถทำคนไข้ก็มีนะ …บางทีเราลืมคิดในส่วนนี้
เพราะฉะนั้นใครกำลังจะเปิดคลินิก แล้วมาขอความเห็นว่าเอายูนิตมือ 1 หรือ 2 ดี ? ผมจะแนะนำให้ซื้อมือ 1 เพื่อตัดปัญหาการซ่อมบำรุง
คุณซ่อมเป็นไหม ?
หาช่างมาซ่อมให้เร็วที่สุดได้ในกี่ชั่วโมง ? ไม่ใช่คณะทันตแพทย์นะครับที่ยกหูตามช่างในตึกได้
ถ้ามือ 2 ประเภทตัวโชว์ หรือ โดนยึดเพราะขาดผ่อน อันนี้โอเค แต่ต้องอายุไม่เกิน 1 ปี
แต่อีประเภท อายุ 3 ปีอัพ ผ่านมาหลายมือ ชิ้นส่วนอะไหล่ซ่อมและทดแทนมาหลายชิ้น
ผ่านเหตุการน้ำท่วม โรคระบาด สงคราม และแผ่นดินไหว ให้ฟรีผมยังคิดหนัก
เอามา อาจจะได้ซื้อมาซ่อมมากกว่าซื้อมาทำฟัน…นะจ๊ะ
เดี๋ยวมาเล่าต่อ เรื่องวัสดุทันตกรรม
ปล ผมเขียนแต่ละโพสช้านิดนึง พอดีมาเที่ยวเกาหลีเหนือ เอ้ย เกาหลีใต้
8
เซ้งมาแค่ไหน ไม่ได้จ่ายแค่นั้น (ต่อ)
อย่างที่เล่ามาครับ ผมมีเงินสดไม่ถึง 4 แสนหรอก
อาศัยวาจา(กับหน้าด้าน)ขอผ่อนเขานั่นแหละ
พอจ่ายงวดดาวน์ (2 แสน) ผมก็วางแผนว่าจะผ่อนคืนเดือนละ 1 หมื่นเรื่อยๆจนครบ
โถ่…แค่เดือนละหมื่น จะยากไร(วะ) แค่นี้ผ่อนไม่ไหวเสียชื่อเจ้าของคลินิกดิ
ก็คิดว่าได้เงินสดมาทุกวัน เจียดออกมาแค่วันละ 333 บาทต่อเดือนเท่านั้นเอง
แหม แค่ขูดหินปูนเคสเดียวจะไม่มีคนไข้ขนาดนั้นเลยหรือ ?
ผมก็เลยกล้าที่จะถือเงินสดไว้อีกแค่แสนกว่าบาทและทุบหม้อข้าวเซ้งคลินิก
พอมาเจอของจริง ทุกอย่างไม่ได้ง่ายเลย ไอ้ความมั่นใจก็มาจากการมโนฯไปคนเดียวทั้งนั้น
เพราะในความเป็นจริงมีค่าใช้จ่ายที่คิดไม่ถึงเพียบเลย คนที่เป็นเจ้าของคลินิกอยู่ ณ เวลานี้คงพยักหน้าหงึกๆตามแน่นอน (ค่อยๆตามอ่าน ครบแน่นอน)
โดยเฉพาะการเปิดคลินิกแล้วประดับร้านด้วยของมือสอง อาจจะเหมือนประหยัดตอนลงเงินก้อนแรก แต่สักพักจะมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่ตามมาเร็วมากๆ แบบที่ผมเพิ่งเล่ามาในโพสที่ผ่านมา
ต่อจากเมื่อวานกันเลย
พูดถึง hidden cost ของการใช้อีควิปเม้นมือสองไปละ มาพูดถึงวัสดุสิ้นเปลืองบ้าง
……
วัสดุทันตกรรม ประเภทบอนดิ้ง คอมโพสิต ซิ้งพอสเพต ไดแคว ก็ใกล้หมดอายุเต็มที
คือตอนตรวจเช็คผมยอมรับว่าไม่ละเอียดเพียพอที่จะมาค้นตู้เย็นแล้วเช็ควันหมดอายุทุกสิ่งอย่าง คืออาศัยมองผ่านๆเท่านั้น
จริงๆของใกล้หมดอายุ จะไม่ค่อยเป็นปัญหา ถ้าเรามีคนไข้เยอะ ทะยอยใช้แป๊บเดียวก็หมด
แต่ช่วงรับเซ้งมาใหม่ๆคนไข้ดันน้อย นะซิ…..
… จะให้รีบใช้ยังไง ? (วะ)
และของบางอย่างก็ไม่มี ก็ต้องซื้อเพิ่มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถุงมือที่มีในสต้อกเป็น XS และ S แต่ผมใส่ M อะไรแบบนี้ ….
รายได้ที่ได้จากการทำฟัน ที่กะจะเป็นเงินคืนทุน…กลับต้องเจียดเป็นค่าซ่อม ค่าซื้อ สารพัด
สุดท้าย ไอ้เงินแสนกว่าบาทที่เป็นเงินก้นถุงก็ต้องโดนควักออกมาใช้….
ถุงขยะ ก็เป็นอีกสะตอรี่ที่ผมพลาด
มีเซลขายถุงขยะ สีดำ สีแดง จอดรถหน้าคลินิกลงมาหา
บอกว่าเขามีถุงขยะราคาพิเศษ ถูกกว่าแมคโคร
ผมบอกดีจัง งั้นเอามาอย่างละ 5 แพ็ค
โถ่หมอ ราคาพิเศษ มันต้อง 100 แพ็คอัพ งั้นหมอจัดไปอย่างละ 50 ละกันถือว่าช่วยๆกัน
หมอซื้อไปเถอะผมนานๆมาที ของแบบนี้ใครๆก็ซื้อเยอะ มันไม่เน่าไม่บูด
ผมก็ยังอ่อนต่อโลก ก็เลยซื้อไป เขายกกล่องใหญ่ๆมาสองกล่อง ตีบิลมา 5,700 บาท
เชียด! นี่คือราคาของถุงขยะ !
ผมบอกไม่เอา มันเกินงบ อีกฝ่ายก็หงุดหงิด บอก หมอผมอุตส่าห์ยกมาวางให้แล้วนะ เอ๊าดูมันพูด ผมตัดรำคาญว่าเอาก็เอา
ผมไม่กล้าบอกแฟนว่าโง่ซื้อถุงขยะเยอะขนาดนี้ กลัวเขาด่าว่าเป็นเทศบาลหรือไง
เชื่อไหมครับว่า 2 ปีผ่านไป ถุงขยะที่ซื้อตอนเพิ่งเซ้งร้านมาผมยังใช้ไม่หมดเลย 555 ><
เดี๋ยวมาเล่าต่อ
ปล.ที่เกาหลีช่วงนี้เป็นเทศกาล white valentine อะไรๆมันเลยจะฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้ง
9
โพสมะกี่พูดถึงถุงขยะที่เสียเงินไป 5 พันกว่าบาท
เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กที่เป็นเรื่องใหญ่
คือถุงขยะที่ซื้อไว้ อัตราการใช้ไม่สัมพันธ์กับปริมาณที่ซื้อ
มันไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องสต้อกถุงขยะไว้มากขนาดนั้น แม้ว่าจะสามารถซื้อได้ในราคาต่อหน่วยที่ถูกก็ตาม
การสต้อกของไว้ใช้นานๆมีความเสี่ยงหลายอย่าง
เช่น ถ้าเก็บไว้สะเปะสะปะ ก็หายาก หาไม่เจอ ก็ไม่ได้ใช้ เช่นผู้ช่วยมือใหม่ยังทำงานไม่เก่ง
ถ้าจัดเก็บไม่ดี เจอความร้อน เจอแดด ก็เสื่อมสภาพ
มีมือดีแอบจิ๊ก หรือขโมยกลับบ้าน
ใครที่เช่าตึกเล็ก ห้องแถวเดียวทำคลินิก ก็จะพบปัญหาสถานที่จัดเก็บจำกัด บางที่ต้องใช้ห้องฟันเป็นห้องสต้อก ของจัดเก็บมั่วไปหมด จะค้นหาก็ยากลำบาก
มาถึงตอนนี้ คิดดูแล้ว ผมควรซื้อถุงขยะที่แมคโครโลตัส ในปริมาณน้อยๆ พอใช้แค่ 2-3 เดือนก็พอ
แบบนี้ ผมจะเหลือเงินหลายพันเอาไปซื้อของอย่างที่จำเป็นอื่นๆ เช่นคอมโพสิต ถุงมือ ผ้าแมส
….
ผมมาเข้าใจเรื่องวัสดุมากขึ้นก็ตอนมาทำงานที่ 3M
โดยทั่วไปบริษัทอยากขายจำนวนเยอะๆ เพราะนอกจากจะได้ยอด ก็อยากระบายของในสต้อก เพราะของมันมีวันหมดอายุ
ก็เลยนิยมจัดโปร 5 แถม 2
10 แถม 5
100 แถม 60
ทางฝ่ายขาย ก็จะมาน้าวโน้มหมอๆด้วยราคาเฉลี่ยที่ถูกลง
หมอครับ จะซื้อทำไมแค่ 5 หลอด จัดไป 10 เลยจะได้แถมเยอะ ราคาต่อหน่วยถูก
คอมโพสิตใช้แป๊บๆก็หมดครับ
หมอจะมีแค่ A3 A3.5 ไม่ได้นะครับ คนไข้ยุคนี้มักฟอกฟันขาว สีขาวกว่า A1 ยังต้องมีเผื่อไว้เลย
โปรฯนี้จะหมดสิ้นเดือนแล้ว ผมไม่อยากให้หมอพลาด
หมอไม่ต้องกังวลเรื่องเงินครับ อีก 2 เดือนเขาถึงส่งบิลมาเก็บเงินครับ
….
หมอๆเรา ใครก็ไม่อยากซื้อแพง
ก็เลยกลั้นใจซื้อปริมาณเยอะ แล้วมาปวดหัว กับการบริหารสต้อก ซึ่งอาจเป็น hidden cost ที่แพงกว่า
สมมุติ composite ราคาหลอดละ 1000 บาท
ซื้อมาเยอะ ใช้ไม่หมด จน expire ไป 3 หลอด
มันไม่ต่างจากการเอาแบ้งค์พัน 3 ใบไปทิ้งดีๆนั่นเอง
การซื้อปริมาณเยอะ เป็น buk order จะเหมาะกับคลินิกที่มีหลายสาขา และมีปริมานใช้เยอะ มีวิธีการกระจายการใช้ที่เหมาะสม
แต่ถ้าเราเป็นคลินิกขนาดเล็ก ยูนิต 1-2 ตัว ก็ควรรู้จักวิธีการจัดการให้เหมาะกับเรา
การจัดการมันต้องดูตัวเราเอง ว่าเราเล็กหรือใหญ่ แล้วคิดหาวิธีที่เหมาะสม
ไม่ใช่สต้อกถุงขยะไว้เยอะจนสามารถใช้ได้นาน 2-3 ปี 5555
และ
ถ้าผมซื้อและสต๊อกของอย่างไร้กลยุทธ แบบเดียวกับถุงขยะในรายวัสดุอื่นๆด้วยละ ?
คือ ซื้อเยอะไปเสียทุกอย่าง ทั้งบอนดิ้ง แมส ถุงมือ หมวก ยาง ซักชั่น เยอะชนิดใช้ได้นาน 1-2 ปี
ก็ต้องเอาเงินสดไปซื้อ แบบนี้เงินเก็บก้นถุงแสนกว่าบาทผมก็ไม่เหลือ
เผลอๆไม่พอด้วยซ้ำ
ซื้อของแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะได้เห็นเงินสด เห็นกำไร ก็เล่นเทไปที่วัสดุเสียหมด
ปล . ภาพตอนเป็นพนักงานอ๊อฟฟิสที่บริษัท 3M โรงเรียนการขายและการตลาดแห่งแรกของผม
10
แนวคิดที่เข้าใจผิดมากเรื่องการเซ้งคลินิก คือ การเข้าใจว่าเราได้ฐานคนไข้(ของเขา)มาด้วย
เรื่องนี้ผมมาตีโจทย์แตกก็ตอนเริ่มเข้าใจการตลาด (ทีหลัง)
ยูนิต ทำเล วัสดุ บิ้วอิน เอ้กเรย์ พวกนี่เป็นสิ่งที่เราได้แน่ๆเวลาเซ๊ง ของมันเป็นชิ้น จับต้องได้
คำถามสำคัญคือ แล้วคนไข้ที่เคยมาทำฟัน หรือแม้แต่คนไข้ประจำ( ที่เราเรียกกันว่าฐานคนไข้) เราได้มาด้วยหรือเปล่า ?
เซ้งร้าน … เราได้คนไข้เก่าๆด้วยหรือไม่ ?
……
ผมยังไม่ได้เล่าว่า ก่อนที่ผมจะเซ้งเจ้าคลินิกราคาประหยัดแห่งนี้ (ใครที่เพิ่งมาอ่าน ลองย้อนอ่านดูนะครับผมเล่าประสบการณ์การเซ้งคลินิกมาพอสมควร)
ผมก็ดูที่อื่นเพื่อจะเซ๊งไว้เหมือนกัน
เคยมีคลินิกหนึ่งต้องการเซ้ง 1.9 ล้าน (มั้งถ้าจำไม่ผิด)
คือคลินิกแห่งนี้เกินงบผมไปมากโข แต่ก็ลองโทรไป แบบว่าอยากรู้ อิอิ
ผมโทรไปคุย คุณหมอท่านก็ดูแอ้คทีฟนะ พรีเซนต์คลินิกให้ฟังเกือบ 20 นาที เล่าละเอียดเลยละว่าคลินิกเขาดียังไง
“น้อง(หมอเขาหมายถึงผม) จะได้ฐานคนไข้ถึง 3000 คนที่พี่สร้างไว้ ดีกว่าการเปิดใหม่ที่น้องต้องสร้างเอง”
ผมฟังตรงนี้ก็เลยเกิดสงสัยก็เลยถามต่อ
“ฐานคนไข้คืออะไร หรือครับ ?”
“ก็คนไข้ที่มาทำฟันที่คลินิกพี่ไง”
“งั้น 3000 คนที่ว่า คือคุณพี่นับจาก OPD Card ใช่ไหมครับ”
“ใช่”
“แล้วสมมุติว่าผมเซ้งมาแล้ว จะรู้ได้ยังไงว่าฐานคนไข้ที่ว่าจะกลับมาทำฟันที่คลินิกนี้ละครับ ?”
สักพักคุณหมอเขาอ้างว่าคนไข้มาละขอตัวไปทำฟันก่อน……แล้วเราไม่ได้คุยกันอีกเลย
ประเด็นคือ
คนไข้ไม่ใช่ยูนิตนะครับ
ที่ว่าเซ๊งคลินิกมาแล้วจะผูกขาดแต่เพียงผู้เดียวในการคิดราคาการทำฟันในช่องปากของคนไข้ในฐานอะไรนั่น
คนไข้ มีชีวิต มีสิทธิ เสรีภาพ มีเจตจำนง มีความเป็นตัวของตัวเอง เราบังคับให้เขามาทำฟันกับเราไม่ได้
นอกเสียจากว่าคลินิกผ่านการสร้างแบรนด์มาอย่างยาวนานและค่อนข้างชัดเจน จนเป็นแบรนด์จริงๆ แบบนี้คนไข้อาจจะมาใช้บริการเพราะ แบรนด์ และถ้าเขาจะขายต่อมูลค่าน่าจะหลายสิบล้านถึงหลักร้อยล้าน ไม่มีทางที่จะราคาแค่หลักแสนหรือล้านต้นๆ
****คลินิกใด ที่คิดว่าตัวเองมีแบรนด์ ลองตั้งราคาขายดูครับ ว่ามีหมอคนไหนกล้าซื้อต่อในราคาแพงกว่าราคาตลาด 2 เท่าขึ้นไปไหม ถ้าแพงได้ และตลาดรรับราคาถือว่ามีแบรนด์ แต่ถ้าต้องตั้งราคาขายถูกๆ ถึงจะขายได้คงยากที่จะอ้างว่าตัวเองมีแบรนด์
ตอนที่ผมตัดสินใจเซ้งคลินิกมา ก็คิดไว้ว่าน่าจะได้คนไข้เก่าๆของเขาที่เคยทำฟันไป กลับมาทำฟันบ้าง
ปรากฎว่า แทบไม่มีกลับมาเลย นอกจากเคสของหมอจัดฟันที่คนไข้จำเป็นต้องมาทำฟัน
เพราะฉะนั้นบทเรียนของการเซ้งร้านข้อที่ 3
เซ้งคลินิกมา ใช่ว่าจะได้คนไข้มาด้วย …นะ
เพราะคนไข้ที่ “เคย” มาทำฟันที่คลินิกเรา ไม่ได้แปลว่าจะมาทำฟันซ้ำ
ไม่ได้แปลว่าอยากจะชวนคนอื่นมา
ไม่ได้แปลว่าเขาประทับใจคลินิก
เขาแค่เป็นคนหนึ่งคนที่ “เคย” มาทำฟันเท่านั้นเอง เผลอๆทำไปแล้ว จำเราไม่ได้ด้วยซ้ำ …><
เพราะฉะนั้นคลินิกที่มี OPD การ์ดเยอะมหาศาลนับหมื่นเรือนแสนขนาดต้องสร้างหอไตรกลางน้ำเพื่อเก็บเอกสารราวพระไตรปิฎกรอสังคายนา…
ถึงจะเยอะ แต่มันเป็นแค่อดีต อดีตของการสะสมชาร์ต
แต่การเซ้งคือการซื้ออนาคต
อดีตทำอะไรไว้ก็ได้อนาคตแบบนั้นแหละครับ
ก็ว่ากันไป
ปล.ผมกลับมาจากเกาหลีเหนือ เอ้ย เกาหลีใต้ละ เหนื่อยมาก 555
ปล.2 รูปลูกสาวไม่ได้เหม่อลอยเพราะติดยานะครับ เดาว่าเขาคงหนาวและคิดในใจว่า พากูมาทำไม 555
11
แฟนผมเพิ่งบ่น ว่าหาร้านนวดยาก (เขาปวดหลังไหล่บ่า บ่อยๆ)
ผมก็ถาม อ่าว แล้วร้านที่เธอนวดประจำละ ?
เธอตอบว่าไม่ไปละ คนเดิมที่เคยนวดลาออก ส่วนคนนวดใหม่นี่ไม่คุ้นเคยกัน นวดไม่ค่อยถูกใจ
………..
ผมว่า คลินิกทำฟันที่ไปเซ้งมา จะเป็นแบบนี้หรือเปล่าน้า ??
สมมุติว่าคนไข้ที่เคยมาใช้บริการกลับมาทำฟัน (กับคลินิกที่เพิ่งเปลี่ยนเจ้าของ ซึ่งก็คือเราที่เซ้งมา)
แล้วพบว่า
เคาเตอร์เปลี่ยนคน (คนใหม่)
หมอเปลี่ยนไป (หมอที่มาเซ๊ง)
ร้าน ….คล้ายๆเดิม ที่เพิ่มเติม อาจจะเป็นที่นั่ง กับบรรยากาศเล็กน้อย
แล้วคนไข้จะรู้สึกว่ามาใช้บริการที่เก่าได้อย่างไร ??
ในเมื่อทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ??
น่าคิดนะครับ
เพราะฉะนั้น เวลาจะเซ๊งคลินิกใคร อย่าไปคาดหวังว่าจะได้ฐานคนไข้เก่าๆเขามาด้วย ถ้าได้มาบ้างถือว่าโชคดีไปละกัน (ดังที่ผมสรุปไว้ในบทเรียนขอที่ 3 )
แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แต่มีอีกสิ่งที่ได้แน่ๆ
คือ OPD card ……
สงสัยไหม ? ว่าเอามาทำไม (วะ)
งั้นเรามาคุยกันถึงเรื่อง OPD card กันสักหน่อยดีกว่า อิอิ
……………….
เล่าย้อนอดีตถึงคลินิกที่ผมรับเซ้งมา
ผมมาดู OPD การ์ด พบว่ากระจัดกระจายไปทั่ว คือไม่ได้จัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย
เสียบผิดเสียบถูกอยู่ในตู้ บางอันถูกมัดรวมแยกไว้ชั้นสอง
เวลามีคนไข้เก่ามาทำฟันซ้ำทำให้การหาการ์ดคนไข้เก่ายากมาก ลายมือที่เขียนบางอันอ่านง่าย บางอันอ่านไม่ออก (เขาถึงด่าว่าหมอลายมือห่วยแตก)
ถ ถุง ก ไก่ เขียนเหมือนกัน
เลขหนึ่ง เลขเจ็ด
น หนู บ ใบไม้ แยกไม่ออก
อ่านละปวดหัวต้องมานั่งแปล Thai เป็น Thai
จนในที่สุดก็เลยตัดปัญหาด้วยการรันเลข OPD ใหม่ คือ ใช้ OPD card ใหม่ไปเลย
ใจจริงผมอยากใช้ชาร์ทเดิมนะครับ แต่มันไม่เวริ์คดังที่เล่ามา
บทเรียนที่ 4 คือ
ควรเช็คด้วยว่าคลินิกได้ทำระบบ OPD ไว้อย่างไร และสานต่อ ต่อยอดได้หรือเปล่า
หรือ ต้องล้างป่าช้า ทำใหม่หมด !
ต้องพิจารณาครับ ว่าการที่คลินิกจะมาเคลมว่าเรา(ผู้เซ้ง) จะได้ข้อมูลคนไข้ทั้งหมดด้วยนั้น
คำถามคือได้ในรูปแบบไหน ?
เป็นไฟล์ หรือ กระดาษเยินๆ ?
ถ้าที่ดีที่สุด คือได้มาแบบ Digital file หรือ ไฟล์ excell ที่จัดข้อมูลอย่างระเบียบเรียบร้อย บันทึกการรักษาและข้อมูลอย่างถูกต้องครบถ้วน และสามารถดึง คัดแยก และวิเคราะห์ได้
หรือได้แค่ OPD การ์ดซีดๆ ยับๆ เขียนข้อมูลด้วยลายมือหวัดๆที่ยากจะอ่านออก เขียนถูกบ้าง ผิดบ้าง และบางส่วนทำลายทิ้งไปเพราะเก่าและไม่มีที่จะเก็บ (ก็เลยทิ้ง)
สมมุติว่าข้อมูลคนไข้เป็นไฟล์ อย่างน้อยผมว่าก็ยังพอทำการตลาดในเชิง CRM (Customer Relation Management)ได้บ้าง เช่น ดึงข้อมูลคนไข้ที่มีพฤติกรรมการรับนัด recall มาดูแลต่อ (ถ้าคนไข้รับได้ว่าผู้ให้บริการไม่ใช่ชุดเดิมแล้ว) ผมก็ยังคิดที่จะเรียกลอง recall เพื่อรักษาลูปการบริการให้ต่อเนื่อง คลินิกก็จะมี Volumn ขอคนไข้เดิมบ้างแม้อาจจะไม่มากนัก
CRM ยังมีอีกเยอะ ไว้ค่อยมาคุยกันในวาระอื่นๆนะ
ถ้าได้แบบหลังมา (กระดาษซีดๆ) เราจะเอามาทำไม ?
ข้อมูลที่เป็นกระดาษเอาไปสร้างประโยชน์ต่อแทบไม่ได้เลย และไม่ practical อย่างยิ่งที่จะถ่ายโอนมันมาเป็นไฟล์อย่างเป็นระบบ
ข้อมูลของคนไข้ จึงเป็นอีกเรื่องที่ใครหลายคนนึกไม่ถึง
เดี๋ยวจะมาเล่าต่อเรื่องการทำฟันบ้าง
ปล.อันนี้รูปภรรยาผมเอง(ที่ชอบบ่นปวดหลังละตระเวณหาร้านนวด) ทุกคนเห็นละคงคิดใช่ไหม ว่าภรรยาผมดูเด็กจังเลย
ก็ต้องเด็กสิครับ รูปนี้ถ่ายมาสิบปีแล้ว 555
12
ประเด็นอีกอันที่ปวดหัวของการเซ้งคลินิก คือ จะได้เช่าต่อนานแค่ไหน ??
ผมจำได้ตอนนั้นที่ผมถามคุณหมอเจ้าคลินิกถึงการรับช่วงต่อ
ว่า …. ผมจะมีสิทธิ์ในการเช่านานแค่ไหน ?
ราคาเท่าไหร่ ?
และ จะมีการขึ้นราคาไหม ?
ในฐานะผู้เช่า เราก็คงกลัวหลายๆอย่าง
กลัวคลินิกไปได้สวย แล้ว ไม่ได้ต่อสัญญา
แล้วถ้าไปไม่รอด ยกเลิกสัญญาได้ไหม ๕๕๕
พี่เจ้าของคลินิกบอกว่า ตอนนี้เช่าอยู่ 12000 บาท ถือว่าไม่แพง เพราะราคาค่าเช่าตึกในย่านนั้นอยู่ที่ราคาเกิน 12000 ส่วนเจ้าของตึกค่อนข้างใจดี คุยง่าย
ผมถามว่า สัญญาเหลือนานแค่ไหน
เขาบอก เหลือ 7 เดือน
อ่าว …. แล้วถ้าครบ 7 เดือนทำไงครับ ?
ก็ไปทำสัญญาใหม่…. ถึงตอนนั้นเดียวพี่พาไป
ผมก็พยายามไม่คิดอะไรมาก ก็คิดว่าถ้าจะถึงขั้นทุบหม้อข้าวกันขนาดนี้ ก็ต้องลุย
แต่ทั้งนี้พี่เขาบอกมาว่า
เจ้าของตึกแกจะเก็บค่าเช่าล่วงหน้า 1 ปี นะ……. เตรียมเงินไว้ด้วย
……><
แปลว่า อีก 7 เดือน ผมต้องมีเงินสด 1 แสน สี่หมื่นกว่าบาทหรือเนี่ย !!
ผมถาม แล้วทำไมเจ้าของตึกเขาไม่เก็บเดือนต่อเดือนอะ งี้ผมก็อ้วกดิ ค่าเซ๊ง 4 แสนผมยังต้องผ่อนเลย …..
พี่เขาบอก เออ น้องต้องเข้าใจเจ้าของตึกนิดนึง คือเขามองว่าค่าเช่าที่เขาคิดไม่แพงแล้วนะ ตึกอื่นค่าเช่า start ที่ 15000 กันหมด และเขาแก่แล้ว ขี้เกียจมาตามเก็บเงินทุกเดือน ก็เลยเอามันก้อนเดียวนี่แหละ….. ลำบากจ่ายเงินก่อนก็จริงแต่ถือว่าได้เช่าถูก หยวนๆหน่า
แล้ว ทำไมสัญญาปีเดียวอะ สัก 3 ปีไม่ได้หรือ…ผมออดอ้อน
แกบอก จริงๆก็ได้นะ แต่หมอมดต้องจ่ายล่วงหน้า 3 ปี นะ……
ผมบอก อ่า งั้นปีเดียวก่อนก็ดีนะครับ ๕๕๕๕ ><
เดียวมาเล่าต่อ
13
สรุปคือ เกี่ยวกับการเช่าตึกต่อ (ที่คุยค้าง)
1.สัญญาเหลือ 7 เดือน ซึ่งใน 7 เดือนนี้ผมจะต้องจ่ายค่าเช่าให้พี่หมอที่ผมเซ้งมา (เพราะแกจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าตั้งแต่ตอนทำสัญญาไปละ) ในอัตราเดือนละ 12000 บาท (ไม่รวมที่ต้องผ่อนค่าเซ๊งอีก 10000 บาท นะ)
2.เมื่อครบสัญญา พี่หมอจะพาผมไปพบเจ้าของตึกเพื่อให้ผมทำสัญญาในชื่อของผม ระยะเวลาการเช่าจะ 1 หรือ 2 หรือ 3 ปีก็ได้
แต่มีเงื่อนไขคือผมจะต้องจ่ายล่วงหน้า
…………………..
และแล้ว วันทำสัญญาก็มาถึง
พี่หมอขับรถมารับผมไปพบเจ้าของตึก
ผมพบเจ้าของตึก ก็เป็นลุงกับป้าแก่ๆคู่หนึ่ง ใจดีน่าดู
แกก็ชวนคุย และเล่าว่าตึกนี้แกซื้อมานานแล้ว และไม่มีความคิดที่จะขาย อยากเก็บเป็นทรัพย์สินไว้ให้ลูก เผื่ออนาคตเขาจะได้มีทรัพย์สมบัติ
แต่ถ้ามีคนมาขอซื้อและให้ราคาสูง แกก็จะขายนะ
แต่ผมเฉยๆครับ
เพราะไม่มีปัญญาซื้ออยู่ละ ๕๕๕๕
แค่จะต่อสัญญายังต้องเก็บเงินแทบตาย !!!!
พี่หมอเขาก็น่ารัก ช่วยหว่านล้อมสารพัด
หมอมดเขาเพิ่งจบ เงินทองยังน้อย ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี (เมืองไทยไม่เคยเศรษฐกิจดีมาเป็นสิบปีแล้ว) อย่าเพิ่งขึ้นค่าตึกเลยนะ….
เจ้าของตึกก็บอกตรงๆว่า เขามีความตั้งใจจะขึ้นค่าเช่าเป็น 13000 บาท แต่เห็นแก่คุณหมอก็เลยยังให้ราคาเดิมไปก่อน
ผมควักเงินออกมา ด้วยมืออันสั่นเทา
โถ่ เงิน 144000 บาท ที่กว่าจะเก็บได้
…….
เชื่อไหมครับ ว่าแต่ละเดือนที่เปิดคลินิกมา ยอดรายรับผมวิ่งๆที่แสนต้นๆ เต็มที่ หนึ่งแสนห้าหมื่น ต่อเดือน เท่านั้น
พอหักค่าโน่นนั่น นี่ ไหนจะค่าเซ๊ง ค่าตึก ค่าสารพัด ผมเหลือติดกระเป๋าแค่ครึ่งเดียว คือไม่ถึงแสนเลย……..
คือ ชาวบ้านชาวช่องที่ไปเป็นมือปืนยังได้มากกว่าผมเลย ๕๕๕๕ ไม่รู้ผมทนได้ไง …… แต่พอดีผมไม่ใช่คนสุรุ่ยสุร่าย ก็เลยพอมีเก็บบ้าง
แต่ก็กำลังจะหมดไปกับการจ่ายค่าตึกล่วงหน้า 12 เดือนนี่แหละ
ผมว่าการเก็บค่าเช่าล่วงหน้า 1 ปีเต็ม มันเอารัดเอาเปรียบคนเช่านะ งี้เงินเก็บก็ไม่ต้องมีกันพอดีสิ…..
ลุงแกเอาสัญญาออกมา มาร์คตำแหน่งที่ผมต้องเซนต์ แล้วแกออกใบเสร็จรับเงิน ว่ารับเงินจากผม 6000 บาท จำนวน 12 ใบ
ใบสำคัญรับเงิน 12 ใบ เขียน 6000 บาท โดยมีวันที่เป็น 12 เดือนในอนาคต
งงไหม ครับ
นั่นคือใบเสร็จที่เขาให้ผม ว่าได้รับเงินจากผมละ
อ่าว แต่ค่าตึกมันคือ 12000 ไม่ใช่ หรือ
ครับ ผมก็เพิ่งจะ get คำว่า “ค่าแป๊ะเจี๊ยะ” ก็วันนี้
คือ เราตกลงกันว่าค่าเช่าคือ 12000 ใช่ไหมครับ เขาจะให้ผมแยกเงินออกไปเป็นสองก้อน คือ ค่าแป๊ะเจี๊ยะ 6000 และ ค่าเช่าตึก 6000
แป๊ะเจี๊ยะเป็นเสมือนเงินกินเปล่า มันจะหายไปไม่เหลือร่องรอยใดๆ เหลือแต่หลักฐานว่าผมเช่าตึกในราคา 6000 บาท เป็นใบสำคัญรับเงินจำนวน 12 ใบ เขียนวันที่ไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย (เชื่อละว่าแกขี้เกียจจริงๆ)
แบบนี้ ลุงแกจะเสียภาษีน้อยไงครับ เพราะโชว์รายรับแค่ 6000
สมมุติว่าผมเสียภาษีแบบจ่ายตามจริงใน 40(6) ผมก็จะเอาค่าเช่ามาลดหย่อนโดยระบุเป็นค่าใช้จ่าย จะได้แค่เดือนละ 6000 บาท เท่านั้น(แทนที่จะใส่ได้เต็มๆ 12000 บาท)
กับค่าแป๊ะเจี๊ยะนี่ผมเสียเปรียบถึงสองต่อเลย ทั้งการหักค่าใช้จ่าย และจ่ายเงินก้อน
ตอนนั้นไม่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องภาษี แค่ต้องจ่ายล่วงหน้า 12 เดือนผมก็หน้าบูดเป็นตูดเป็ดแล้ว
และก่อนกลับ ลุงแกบอกว่า
หมดสัญญารอบนี้ ขอขึ้นเป็น 13000 บาทนะ
และผมว่าแกคงไม่ลืมแน่นอน
เพราะระบุไว้เรียบร้อยในสัญญาที่เพิ่งเซนต์แล้ว…….ว่าถ้าผมต่อสัญญาจะเช่าในราคา 13000
แหม ลุงแกเป๊ะวะ ๕๕๕๕ ผมนี่ได้แต่ครับๆๆๆๆ เซนต์ๆๆๆๆๆ
สรุปคือเงินเก็บจากการเปิดคลินิกกลายเป็นต้องเอามาจ่ายค่าเช่าในอนาคตซะเกลี้ยงเลยครับ
14
มีอีกกรณีที่เราอาจจะพบเจอ คือ เช่าคลินิก
งงไหม
ไม่ใช่เช่าตึก หรือ เซ้ง แต่เป็นการเช่าคลินิกจากคุณหมอที่เป็นเจ้าของ
เช่าเพื่อมาบริหาร และรับรายได้ทั้งหมดโดยตรง
ยกตัวอย่าง ผมมีคลินิกละตัวเองแก่มากแล้ว ทำฟันไม่ไหว ตาฝ้าฝาง แต่ไม่มีความคิดที่จะขายหรือเซ้งคลินิก ก็เลยเสนอให้หมอที่สนใจมา “เช่า”
คือ ได้ใช้ทุกอย่างในคลินิกเสมือนเป็นของตัวเอง แล้วจ่ายค่าเช่าให้กับเจ้าของ
เช่น
ค่าเช่าตึก 20000 บาท
เช่ากิจการ (อุปกรณ์ยูนิต ตกแต่ง) 20000 บาท
รวมเป็น 4 หมื่นต่อเดือน
ส่วนรายรับจะกี่หมื่น กี่แสน ก็เป็นเรื่องของคนเช่าละว่าทำยอดได้แค่ไหน
ส่วนวัสดุสิ้นเปลือง เจ้าของคลินิกก็จะตีราคาให้เราซื้อเป็นของเราทั้งหมด ส่วนมากก็คงไม่ถึงแสน นอกจากจะมีสต๊อกของเยอะหรือของแพง เช่น รากฟันเทียม
ส่วนการเช่าจะมีสัญญาต่อกันว่าอย่างไร ก็มาคุยกัน แต่ต้องเก็บทุกรายละเอียดนะ ไม่งั้นทะเลาะกันตายหงษ์ เช่น
สมมุติว่าเช่าคลินิกมาได้ 2 เดือน ยูนิตดันเสีย ใครจะซ่อม ? คนเช่า (เรา) หรือเจ้าของ (คนให้เช่า) อาจจะต้องระบุลงไปด้วยว่าเสียจากสาเหตุใด
มันจะคล้ายกรณีเซ้งคลินิกมา แล้วได้ยูนิตรุ่นโบราณๆมา มันเป็นภาระมาก และเมื่อเจ้าของกับคนที่ใช้เป็นคนละคน ดราม่าจึงเกิดง่ายๆ
เพราะฉะนั้น การเช่า โจทย์ที่สำคัญคือตัวสัญญาที่คุยกัน โอเคทั้งสองฝ่ายไหม
เป็นธรรมไหม
รู้ทันอีกฝ่าย หรือไม่
ปล.จุดประสงค์การเล่าประสบการณ์ การเซ้งคลินิก คือตั้งใจว่าน้องๆหมอฟันจะได้ลดความเสี่ยงจากการไม่มีความรู้ ขาดประสบการณ์ เพราะรายละเอียดมันเยอะมากๆและสุดท้าย ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ได้ต้องการคือเจ๊ง
ส่วนท่านที่กำลังจะประกาศเซ้ง จะเซ๊งยากขึ้นไหม ?
ผมว่ามันไม่เกี่ยวเท่าไหร่ เพราะถ้าราคา หรือ deal ที่เสนอมันคุ้มค่า ยังไงก็เซ้งได้ (นอกจากจะขายแพงกว่าศักยภาพในการทำกำไร)
เดี๋ยวมาเล่าต่อครับ
15
มาพูดเกี่ยวกับ ราคา ค่าทำฟันกันบ้าง
ตอนเซ้งคลินิกมา ผมตั้งราคาใหม่หมดเลย (แต่ราคาก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนะครับ)
ตอนตั้งราคา ผมก็คิดว่าคลินิกเรา เป็นคลินิกเล็กๆ เทียบกับทุกคลินิกในย่าน เราดูกระจุ๊กกระจิ๊กที่สุด ร้านสวยน้อยที่สุด ขนาด หรือ Capacity น้อยสุด (ยูนิตเดียว)
ถ้าตั้งราคาให้สูงกว่าคนอื่นแล้วใครจะมาใช้บริการ ?
แต่ถ้าตั้งถูกมาก แล้วจะเอาอะไรรับประทาน ?
อีกประเด็นคือ ตอนนั้นผมค่อนข้างสับสน และวางตัวเองไม่ถูกในฐานะหมอฟันเอกชนที่ต้องเลี้ยงชีพ ใช้หนี้ จ่ายเงินเดือนลูกน้องและของตัวเอง และการดำรงฐานะของการเป็นหมอคนนึง
เช่น
การตั้งราคาแพง มันผิดจรรยาบรรณไหม ?
ถ้าคนไข้ต่อราคา หรือ ขอลด เราในฐานะหมอควรยืนยันราคาที่ตั้งไว้ หรือลดราคาลง เพื่อคนไข้จะได้รับการรักษา ?
คือมันมีหลายประเด็นปนเปกันจนไม่สามารถจัดระเบียบความคิด มีเหตุการหนึ่งที่อยากแชร์
คือ ตั้งราคาถูกแล้วยังโดนด่าว่าแพง
เรื่องเกิดจากว่า ผมตั้งราคาถอนฟันไว้ที่ 400 บาท ไม่ว่าจะยาก หรือ ง่าย (ไม่นับการผ่าตัด แบบ ผ่าฟันคุด)
เหตุผลที่ผมตั้งไว้แบบนั้น เพราะมีความคิดว่า คนไข้ที่เลือกที่จะถอนฟัน มักจะเป็นผู้มีรายได้น้อย เขาเลือกที่จะถอนฟันออกไปเพราะไม่สามารถสู้ราคาการรักษาอื่นๆ ประเภทรักษารากฟัน การตั้งราคาไว้ถูกสักหน่อย จะเป็นการช่วยเหลือคนไข้กลุ่มนี้
เพราะถ้าเขาการเงินดี มีฐานะ แล้วจะมาถอนฟันทำไม ? จริงไหมครับ
ปรากฎว่าในโลกความจริง ช่างแตกต่างไปจากที่ผมมโนฯเอาไว้
……………….
1.คนไข้ไม่ได้รับรู้ถึงความหวังดี ที่ผมตั้งราคาถอนฟันไว้ต่ำ
มีครั้งหนึ่ง คุณลุงคนนึงจอดมอไซด์ไว้หน้าคลินิก เดินมาถามว่าจะมาถอนฟันที่นี่คิดกี่บาท
ผมบอก 400 ถ้วน
เขาบอก เอ้ย ทำไมแพงจัง !!
ผมคิดในใจ แพงตรงไหน (วะ)
ผมตอบ นี่ถูกที่สุดในถนนสายนี้แล้วนะครับ ….. ผมไม่คิดว่าจะมีใครต่ำกว่านี้
เขาบอกไม่จริง เพื่อนเขามาถอนแถวนี้ ราคา 250 บาท
ผมบอก เอ้ย อันนั้นมันสิบปีก่อนหรือเปล่าครับ ? …..
เขาไม่เชื่อ ก็เลยควงมอไซด์ไปไล่ถามทีละคลินิก สักครึ่งชั่วโมงก็กลับมา….
จริงด้วย คลินิกหมอถูกสุดละ …… แต่ทำไมแพงจัง ตั้ง 400 บาท
ผมนี่พูดไม่ออกเลย แพงตรงไหนอะ …… ชาวบ้านเขาคิดเริ่มต้นที่ 500 ถอนยากบางคนคิดเกือบพันไม่รวมค่ายา…..
ระหว่างฉีดยาชารอชา เขาก็บ่นตลอด
ถอนฟันแพงจัง
ถอนฟันแพงจัง
ถอนฟันแพงจัง
………ผมนี่โคตรรำคาญ
จนถอนเสร็จเขาก็ยังบ่นทั้งที่คาบผ้าก๊อซ
ผมกลับบ้านนั่งเหม่อลอยคนเดียว ส่วนภรรยาก็นั่งดูซีรี่ย์กินขนมหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
ถูกแพง มันวัดกันที่ตรงไหน (วะ)
ทำไมสิ่งที่เราคิดว่าทำถูก ตั้งราคาไว้ต่ำเพื่อช่วยคนที่รายได้น้อย ถึงโดนด่าว่าแพง ?
แต่ตื่นอีกเช้าผมก็ลืม ๕๕๕๕
ก็ช่างมันไป…. บางทีคิดอะไรวนเวียนมากเกินไปมันทำให้อายุสั้น บางครั้งต้องช่างมันบ้างเพื่อสุขภาพจิตที่ดี
ต้องอีกราว 5 ปีจากนั้นผมถึงเริ่มเข้าใจทฤษฐีว่าด้วยการตั้งราคาว่าจริงๆแล้วมันไม่มีมาตรฐานหรือบรรทัดฐานที่ชัดเจนที่ถูกต้องและแน่นอน
เรา (ผู้ขาย) มีสิทธิแค่ตั้งราคา
เขา (ผู้ซื้อ) เป็นผู้ตัดสิน ว่า ถูก หรือ แพง
เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นไปได้ ว่ามันจะเกิดสภาวะย้อนแย้ง ที่เราคิดว่าถูก แต่เขาคิดว่าแพง
เพราะเรา ไม่ใช่เขา
และเราตัดสินแทนเขาไม่ได้
มันเป็นเรื่องของเขา
เรื่องของเรานอกจากการกำหนดราคา อีกอันที่เป็นหน้าที่เราคือต้องเติมคุณค่า หรือ Value เข้าไปให้มากที่สุด
คนเขาซื้อของราคาสูง เพราะเขาตัดสินว่ามันคุ้มสำหรับเขา
………………..
2.คนรวย หรือ คนมีเงิน ไม่ได้แปลว่าจะยอมจ่ายแพง
จริงหรือไม่ ที่คนรายได้น้อยจะซื้อแต่ของถูกๆ และคนรวยจะซื้อแต่ของแพง ?
คนไข้บางคนที่เดินเข้ามา ดูภูมิฐาน มีรถขับ พูดไทยคำอังกิดคำ
แต่เลือกที่จะถอนฟัน
อ่าว ไม่รักษารากฟันหรือครับ ?
เขาบอก ไม่เอา รักษารากฟันแพง
ห๊า …… ไรเนี่ย มีตังค์ยังบ่นว่าแพง ! ผมคิดในใจ
ถอนดีกว่า ง่ายดีจบ ไม่ยุ่งยาก ว่าแต่ 400 บาทเลยหรือ ลดได้ไหม ?
โอว์ ขอลดด้วย…….
คนที่ดูมีฐานะ บางทีไม่ได้แปลว่าจะจ่ายง่ายและซื้อแพง
บางคนงก ครับ
ผมเคยคุยกับเซลขายคอนโดระดับ hi end เขาเป็นนักขายมือต้นๆของบริษัท เขาเล่าว่า เขาไม่ชอบขายคนที่มีชื่อเสียง เช่น เซเลป ดารา นักร้อง คือคนกลุ่มนี้มีเงิน แต่จ่ายยาก แถมชอบมาขอสิทธิพิเศษ ขอส่วนลด ขออะไรพิเศษกว่าชาวบ้าน เหมือนกับว่าถ้าต้องซื้อราคาเต็มมันเสียชื่อเสียเกียรติ อะไรแบบนี้
แตกต่างจากคนที่รวยจริง แต่ไม่ดัง เงียบๆ ไม่ทำตัวฟู่ฟ่า พวกถ้าคุยสองคำ ถ้าเขาเอา เขาเอาเลยไม่ต่อด้วย แต่ถ้าไม่เอา ตื้อให้ตายเขาก็ไม่เอา
………………
พออะไรๆมันไม่ได้เป็นไปตามที่ผมมโนฯ ผมจึงเริ่มคิดถึงการกลับไปเป็นมือปืน……ดีกว่าไหม ?
เรียนต่อเฉพาะทางสักใบ ทำฟันให้เก่งขึ้นอีกหน่อย ไปอยู่คลินิกที่ดีๆหน่อย ที่ค่าทำฟันโอเค ส่วนผมก็แค่ทำฟันให้ดีที่สุด
ส่วนราคาก็คิดไปตามเรทที่คลินิกกำหนด จบ
ตอนนั้น ใจมันไม่ค่อยจะสู้แล้วอะ…..><
16
ขอเล่าเรื่องราคาต่อ
อันนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องเซ้งคลินิกที่เล่าค้างนะครับ ผมตัดตอนมาคุยนิดนึง
………
เคสนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับผมโดยตรงนะ แต่เกิดกับคุณหมอท่านหนึ่งที่ผมรู้จัก (ผมเอาเรื่องที่เขาเล่ามาดัดแปลงเล็กน้อย และขออนุญาติเขาแล้วที่จะมาแชร์)
เรื่องคือคนไข้มาขูดหินปูน คุณหมอเขาคิดราคาไปที่ 700 บาท
ก็ไม่มีอะไร
ปีถัดมา คนไข้มาขูดอีกครั้ง
แต่รอบนี้คุณหมอคิดราคาไว้ที่ 800 บาท
ก็….เกิดดราม่าทันที
คนไข้มาโวยวายตอนคิดเงินว่า ทำไมคิดราคา 800 ปีก่อนคิดแค่ 700 เอง เคาเตอร์ก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก
บอกกลับไปว่า
นู๋ไม่รู้ นู๋เป็นลูกจ้าง
มึงไปเรียกหมอมาเลย คนไข้โว้ย
คุณหมอก็ออกมาจากห้องตรวจ ก็พยายามอธิบายคนไข้ว่าหินปูนเยอะมาก ก็เลยแพงขึ้น
คนไข้บอก เยอะตรงไหน ก็เพิ่งขูดไปปีที่แล้ว มันก็พอๆกับคราวก่อนนะแหละ…
คุณหมอก็เงียบ …. ไม่ตอบอะไร
คนไข้จ่ายเงินไป 800 บาท แล้ว ก็ออกจากคลินิกด้วยความโกรธ
ฟังแล้ว คุณว่า คนไข้งี่เง่าไหม ??
……………..
จริงๆแล้ว เหตุการณ์นี้ คลินิกผิดทุก step การให้การบริการเลย
เหตุการณ์นี้ สอนอะไรเรา ในฐานะผู้ให้บริการอะไรได้บ้างครับ ??
1.ถ้าเป็น item เดิม ที่เขาซื้อซ้ำ แต่เราขายแพงขึ้น ควรจะต้อง #แจ้งคนไข้ให้ทราบก่อน (ก่อนได้รับการบริการ)
เพราะคนเราเกลียด suprise
โดยเฉพาะเรื่องราคาที่จู่ๆแพงขึ้น
นึกภาพวินมอไซด์ที่เราขึ้นประจำ มันบอกว่า พี่ๆตอนนี้ขึ้นราคาแล้ว จาก 10 บาท เป็น 15 บาท
แค่ 5 บาท เรายัง เซ็งจะตายหงษ์ !
แล้วนับประสาอะไรกับ 100 บาท ?
2.ให้เหตุผล
นอกจากราคา อีกสิ่งที่ต้องมาสอดรับคือ
เหตุผล
การขึ้นราคาโดยไม่มีเหตุผลที่ฟังขึ้นในสายหูของคนไข้ เขาจะมโนฯว่าเราเอารัดเอาเปรียบ
การให้เหตุผล ถือเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจทางหนึ่ง (Empathy) ถือว่าเราแคร์ความรู้สึกเขา
และคนที่จะต้องสามารถแจงเหตุผลได้อย่างมืออาชีพ คือ เคาเตอร์
ไม่ใช่เอะอะก็ นู๋ไม่รู้ นู๋มันเป็นแค่เคาเตอร์
ถ้า service ได้แค่นี้ ไล่ออกไปเถอะครับ รกคลินิก จ้างพม่ามาก็ได้ อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ
แล้วที่สำคัญ ต้องเป็นเหตุผลที่ดีมากๆ ที่เขาจะรับได้ด้วย
3.ขอ permission
ทีนี้ คนไข้ฟังเหตุผลเสร็จละ เขามีสองทางเลือก
คือทำ กับ ไม่ทำ(ไม่รับการรักษา)
โดยมาก ถ้าความสัมพันธ์ของเราดี และทำตามกระบวนการ 1 2 และสื่อสารอย่างดี มักจะไม่มีปัญหา ถ้าคนไข้เซเยส ก็ดำเนินการรักษาเลย
ปัจจัยสำคัญคือ Value
………….
แต่ในกรณีที่เกิดขึ้นกับคุณหมอ ถือว่าพลาดในทุกๆขั้นตอน
1.ไม่เช็คประวัติ
ใน OPD card ก็เคยมีประวัติมาแล้วว่าเคยคิดราคาไว้ 700 ถ้าเอะใจทัน ก็ควรจะต้องบอกเขาว่าการรักษาครั้งนี้ มันมีความซับซ้อนอะไรเพิ่มเติม และจะส่งผลให้ราคาแพงขึ้น แต่คุณหมอไม่ได้ทำ จนคนไข้ไป surprise ตอนเช็คบิล
2.ขาดการทำความเข้าใจ
คนไข้รับรู้ว่าการขูดหินปูน คือการขูด ไม่ได้เข้าใจเหมือนเราว่ามันมีระดับความยาก ซึ่งส่งผลให้ราคามันผันแปรได้ และ ณ เวลาขูด เขาก็คงไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่างจากปีก่อน
3.ให้เหตุผลเมื่อสาย
การให้เหตุผลหลังจากที่คนไข้อารมณ์เสียไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ มันก็แค่การแก้ตัว
4.ไม่มีการขอโทษจากคลินิก
ในความเห็นผม กรณีนี้ถ้าอยากจะจบให้สวย ควรจะกล่าวคำขอโทษ
เพราะเราผิดพลาดในการแจ้งราคาให้คนไข้ได้ทราบก่อนทำการรักษา ส่งผลให้คนไข้ต้องตกใจและเสียความรู้สึกเมื่อต้องมาชำระค่าบริการที่เกินจากที่คาดไว้
ในแง่ของการบริการ ผมจึงถือว่าเป็นความผิดของทางคลินิกเป็นส่วนใหญ่
ในการณีนี้ การเยียวยาที่ง่ายที่สุดนอกจากการขอโทษ คือ คิดราคาให้เท่ากับราคาเดิมไป เท่านั้นเอง
การยังยืนหยัดกระต่ายขาเดียว ว่าจะเช็คบิล 800 ให้ได้ในกรณีนี้ ถือว่าเสียหายมากมาย
1.เสียลูกค้าประจำไป 1 คน
ผมมั่นใจว่าคนไข้จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่
2.เสียชื่อเสียง
ตราบใดที่เขายังโกรธ Word of mouth ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาจะแพร่กระจายไปทุกที่ ที่เขาไป และเราก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาจะใส่ไข่และใส่อารมณ์เข้าไปแค่ไหน อาจจะเวอร์เกินจริงก็ได้
ปากต่อปากจะแรงเสมอ ถ้าเป็นความไม่ประทับใจ
3.เสียกำลังใจ
ถ้าเคาเตอร์และหมอเจอคนไข้เหวี่ยงวีนบ่อยๆ มันบันทอนกำลังใจในการทำงาน เคาเตอร์อยากลาออก มือปืนอยากย้ายคลินิก
สุดท้าย คลินิกได้แค่ 800 บาท แต่นอกนั้นถือว่าเสียทุกอย่าง
17
คุณคิดว่าการที่เราลาออกจากราชการ มาเซ๊งคลินิก จะมีข้อดีคือมีอิสระ ใช่ไหม ?
ก็ไม่ได้เป็นข้าราชการ หรือเป็นมือปืนที่ต้องเข้างานเป็นรูทีน ก็น่าจะมีอิสระเสรี
เปิด หรือปิด คลินิกเมื่อใดก็ได้ ใช่ไหม ?
ได้ทำทุกอย่างที่อยากทำอย่างเสรี ใช่ไหม ?
คนส่วนใหญ่ที่อยากจะก้าวขาเข้ามาในวงการเอกชน ก็ล้วนใฝ่หาอิสระ ใครก็อยากมีชีวิตที่ตนเอง control ได้ทุกมิติ
แต่เอาจริงๆนะครับ
เป็นมือปืน มีอิสระเสรีมากกว่าครับ
……..
ผมก็เคยคิดว่าถ้ามีคลินิกเป็นของตัวเอง (แม้จะยังค้างผ่อนค่าเซ๊ง แต่ผมก็ถือว่าเป็นของผมนะ อิอิ)
ก็น่าจะดี น่าจะอยากทำอะไรก็ได้ ตามที่เราดีไซน์
เอาจริงๆ มันไม่ได้เป็นอย่างงั้น
การบริหารคลินิก เราต้องมีความรับผิดชอบสูง
ยกตัวอย่าง สมมุติ คุณอินดี้ อยากกำหนดเวลาเปิด ปิด ตามใจชอบของเรา จะเกิดผลเสียอะไรบ้าง ?
เช่น แฮ้งเหล้าฟรายเดย์ไนท์ ก็พาลไม่อยากทำงานวันเสาร์ ก็ปิดมันไปดื้อๆ งั้น
หรือ ช่วงนี้มีกิเลสอยากมีซิ๊กแพค ก็เลยไปฟิตเนสทุกเช้า ขยับเวลาเปิดคลินิกเป็นเที่ยง แต่พอเลิกอยากมีซิกแพค ก็กลับมาทำการเวลาเดิมสิบโมง
ผลเสียของการเปิดปิดตามใจชอบคือ คนไข้ขาดความเชื่อมั่น กลายเป็นคลินิกที่ภาพลักษณ์ไม่สวย ดูไม่พร้อมให้บริการ
สมมุติ วันนี้คุณเป็นตากุ้งยิง แล้วจะหาหมอโรคตา
ระหว่างคลินิกโรคตา ของอาจารย์หมอ ที่เปิดๆปิดๆบ่อย เพราะงานราชงานหลวงเยอะ เวลาจะไปแต่ละที่ต้องลุ้นว่าอาจารย์หมอลงเวรไหม ? จะไปบรรยาย หรือ ดูงานต่างประเทศอีกอะเป่า ?
เทียบกับโรงพยาบาลที่มีหมอรอเรา 24 ชั่วโมง ไม่ปิดแม้แต่ปีใหม่ สงกรานต์ ตรุษจีน หรือแต้งส์กีฟวิ่งเดย์
แบบใดที่สร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการมากกว่ากัน ?
แบบใด ที่เราอยากฝากสุขภาพเรา ?
แบบใดที่จะเป็นที่พึ่งในยามที่เรามีปัญหาฉุกเฉินได้ดีกว่ากัน ?
แค่ความสะดวกในการเดินไปใช้บริการก็ต่างกันแล้ว
****ความรู้สึกเหล่านี้แหละคือ brand ที่เราพูดกันในทางการตลาด
……
อีกเรื่องหนึ่งที่คนยังไม่มีคลินิกอาจจะยังไม่อิน
คือ การมีคลินิก คุณจะมีรายจ่ายทุกวัน
ไม่ว่าจะเปิด หรือไม่เปิดคลินิก
เราเรียกว่า fix cost หรือต้นทุนคงที่
คือ ไอ้วันเสาร์ที่นอนแฮ้งเหล้าเพราะฤทธิ์ โซดาน้ำเมื่อค่ำวาน
คิดแบบผิวเผิน เราก็แค่ขาดรายได้
แต่เปล่า
วันนั้นเราขาดทุน คือ เสียเงินด้วยนะ
เพราะค่าจ้างลูกน้อง เราจ่ายเป็นรายเดือน
เจ้าของตึกก็คิดค่าเช่าเหมือนเดิม ไม่ว่าเราจะแฮ้ง หรือ ไม่แฮ้ง
กี่พัน ก็ลองเทียบบัญญัติไตรยางค์ดู
ยังมีอีกหลายสิบหลายร้อยเรื่องที่เราจะต้องมีวินัยและรับผิดชอบ ไหนจะเรื่องคน
คลัง
ของ
การตลาด
การเงิน
#การต้องรับผิดชอบอะไรมากมาย มันก็ลดความเป็นอิสระในการจะทำอะไรตามใจชอบ เปรียบเทียบการแต่งงานมีลูกสามก็ไม่ปาน
เทียบกับการเป็นมือปืน จะพบว่ามือปืนมีขอบเขตการรับผิดชอบในลักษณะที่แตกต่าง และขอบเขตไม่กว้างขนาดเจ้าของคลินิก
คือมีวินัยในการทำงาน ปฎิบัติตนตามกฎและระเบียบที่คลินิกอยากให้เป็น และทำฟันให้สุดความสามารถ
เห็นไหม สบายกว่าเยอะครับ
ผมก็เลยคิดว่าคลินิกทันตกรรม ถ้าเปิดเล่นๆ #ก็จะได้ผลลัพธ์แบบเล่นๆ โดยเฉพาะในสนามแข่งขันคลินิกทันตกรรมปัจจุบันที่แข่งขันกันสูง
ไปๆมาๆ ก็อาจจะกลายเป็นคลินิกที่สู้ใครไม่ได้ รอรับบริการคนไข้ที่ล้นเหลือมาจากคู่แข่ง
เพราะเขาไม่เลือกเดินมาหาเรา เป็นที่แรก…..
แบบที่เคยเกิดกับผม
18
ช่วงที่ผมเฝ้าคลินิที่เซ้งมา
คร้ังหนึ่ง ทำฟันให้คนไข้ท่านหนึ่ง พอดีเขาเป็นคนเฟรนลี่ ไอ้เราก็เลยกล้าคุย
พี่ครับ ทำไมถึงตัดสินใจมาทำฟันคลินิกนี้ครับ ?
คนไข้บอก
พอดีไปแวะไปคลินิกแถวนี้มาสองที่ เขาบอกคิวเต็ม ก็เลยต้องมาที่นี่ครับ
…..ผมนี่……หน้าชาอย่างกับโดนบลอค nerve ซ้าย-ขวา
คลินิกเราคืออะไรในสายตาคนไข้(วะ) ?
ทำไมเราคือตัวเลือกท้ายๆ เวลาเขาตัดสินใจทำฟัน ?
แต่ผมก็กัดฟันทนรับสภาพไป
ผมอายไหม ?
อายมากครับ……
และก็ท่องมนต์ประโยคหนึ่ง
ว่า
“คลินิกมันต้องค่อยเป็นค่อยไป เราต้องใจเย็นๆ”
ผมท่องประโยคนี้ตลอดสองปีที่เซ้งคลินิก
ทำฟันเสร็จ เช็คบิล ผมเปลี่ยนกางเกงและใส่เสื้อยืด คว้าร้องเท้าวิ่ง
ตะโกนบอกเด็กที่คลินิกว่าขอไปวิ่งสักชั่วโมง….เพื่อแก้เครียด
ผู้ช่วยได้ยินก็หันมามองผมแว้ปนึง แล้วก้มหน้าทาเล็บต่อไป
เรารู้กันว่าคนไข้มันน้อยจนสามารถทาเล็บมือ โรยกิลส์เตอร์และทาเคลือบทับอีกชั้นสบายๆ
ทั้งเล็บมือ และเล็บตีน
ผมต้องออกไปแก้เครียด ไม่งั้นผมคงเป็นซึมเศร้าตายหงษ์
ประโยคที่ว่า “คลินิกมันต้องค่อยเป็นค่อยไป เราต้องใจเย็นๆ” เป็นคำแนะนำของคุณหมอท่านหนึ่ง
ท่านฝากฝั่งไว้ตอนเพิ่งเซ้งมาใหม่ๆ และผมก็พร้อมน้อมรับมาปฎิบัติ
ประโยคนี้มันไม่ผิด
ผมผิดเอง…..ที่ไปเชื่อ…..และยึดถือมาปฎิบัติ
ถ้าหลักสูตร หรือเคล็ดลับของธุรกิจทันตกรรม คือ การทำฟันอย่างหนึ่ง ผมว่ามันคงเป็น “ครอบฟัน”
คือ ต้องสร้างมาให้พอดีกับคนๆนั้น ไม่สามารถใช้แบบสำเร็จรูปได้ คือจะต้องเหมาะเจาะกับฟันซี่นั้น ซี่ใครซี่มัน
“คลินิกมันต้องค่อยเป็นค่อยไป เราต้องใจเย็นๆ”
คงจะเหมาะกับคนที่มีปัจจัยแวดล้อมครบถ้วนสมบูรณ์ คือ บริหารคลินิกไปเรื่องเพื่อรอเก็บเกี่ยวความสำเร็จ
แต่กรณีเคสผมมันไม่ใช่
ผมขาดอะไรบางอย่าง ผมจะต้องมีการพัฒนาและแก้ไข
ไม่ใช่การทำเรียกสติมาให้ใจเย็นรอให้คลินิกมันประสบความสำเร็จเองแบบอัตโนมัติ
ผมต้องการอะไรมากกว่าคำปลอบให้ปลง และจำนนกับชะตากรรม
ก็เคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าผมมีเพื่อนชื่อโดเรม่อน และขอยืมไอ้ไทม์แมชชีน
ผมจะย้อนเวลากลับไปบอกไอ้หมอมดคนนั้น ที่กำลังวิ่งในหมู่บ้านใกล้ๆคลินิก ผมจะไปยืนดักรอเขา แล้วตะโกนเรียกให้เขาหันหน้าขึ้นมามองผม
นายมด …. หยุด ….. ขอพูดอะไรด้วยสักสองนาที
นายมด … นายตั้งใจฟังเรานะ….
นายมีคลินิก…..แต่ไม่เคยรู้ว่าคลินิกนายเป็นอะไร
นายมองเห็นคลินิกตัวเอง หน้าร้านยังหลังบ้าน…… แต่ไม่เคยมอง ว่าคนไข้เขามองและรู้สึกยังไง
นายทำฟันให้คนไข้ ……แต่ไม่เคยรู้ว่าคนไข้นายเป็นใคร…..นายพร่ำเรียกเขาว่าคนไข้…..ทั้งที่เขาไม่ได้ป่วย……
นายอยากให้คลินิกออกดอกออกผล……แต่นายแค่เอาเมล็ดส้มไปหว่านในท้องนา แล้วหวังลมๆแล้งๆให้มันเจริญเป็นไร่ส้ม และ generate passive income ……. คลินิกไม่ใช่ถั่วเขียว ที่แค่แช่น้ำก็งอกเป็นถั่วงอกได้…..นายคิดว่าจะถูกหวยหรือไง ?
และถ้าตัวนายเป็นคนไข้ …. นายจะเลือกทำฟันกับคลินิกนายเอง ….. หรือของคลินิกคู่แข่ง ? นายอย่าหลอกตัวเอง
คลินิกนาย….นายก็รู้ว่ากำลังมีปัญหา…..แต่นายไม่เคยรู้ว่าปัญหาคืออะไร
ทางแก้ไข ???
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ถ้ารู้เขา รู้เรา จะรบ 100 ครั้ง โดยไม่แพ้เลย
การที่นายไม่รู้ตัวเอง….ไม่รู้คนไข้…..ไม่รู้คู่แข่ง…..แล้วจะอยู่รอดได้เพียงใด ?
นาย……จะทนกับสภาพนี้…..ไปอีกนานแค่ไหน…….
จะต้องรอ…..อีกสักสองปี….ค่อยตัดสินใจ….หรือไร ?……
สองปีที่ผ่านมา…..ไม่นานพอ…..หรือ ….?
…………
ผมวิ่งกลับมาที่คลินิก อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เหล่ดูนาฬิกาที่แขวนไว้ใต้หิ้งพระ
ผมนับเวลาเพื่อปิดคลินิก แล้วไปทานข้าวเย็นกับภรรยา
นี่ผมวนเวียนแบบนี้……อยู่สองปีจริงๆ นะ
19
เหตุผลดีๆที่ทำให้สบายใจ
ทุกคนอ่านเรื่องที่ผม “เซ้งร้าน” ถึงตรงนี้ คงทราบแล้วว่าผมบริหารคลินิกไม่เป็น และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการตลาด
สมัยนั้น เวลายอดน้อย คนไข้น้อย ผมจะ “หาเหตุผล” จากคนรอบข้าง มาสนับสนุน
เช่น
วันนี้มันวันที่ 16 เขาลุ้นหวยกัน ไม่มาทำฟันหรอก
ก็กลางเดือนไงหมอ คนเขาเงินหมดแล้ว จะมีเงินอีกทีหลังวันที่ 25 ตอนเงินเดือนออก
เปิดเทอมนะหมอ ที่คึกคักก็มีแต่โรงจำนำ ใครจะมาทำฟัน ?
ช่วงนี้สอบแอดมิชั่น พ่อแม่ลูก ยุ่งกันทั้งครอบครัว
หน้าฝน … ขนาดมีรถยังขี้เกียจออกบ้านเลย
อ่า รู้สึกวันนี้เขามีงานวัดใหญ่ คณะลูกทุ่งมาจัดเต็ม คนเขาเลยไปเที่ยวกันหมดไงหมอ
แหม … คนไทยก็คนจีนทั้งนั้น ใครๆก็ไปเชงเม้ง
ใครจะมาควักช่วงนี้ เดือนหน้าก็สงกรานต์ ต้องเก็บเงินค่า
ใครจะมาควักช่วงนี้ เดือนหน้าก็วันแม่ ต้องเก็บเงินค่า
ใครจะมาควักช่วงนี้ เดือนหน้าก็วันพ่อ ต้องเก็บเงินค่า
ใครจะมาควักช่วงนี้ จะปีใหม่แล้ว ต้องเก็บเงินค่า
เศษฐกิจไม่ดี หนูเห็นงูเขียวยังต้องคุ้ยขยะเลยหมอ ไม่เคยเห็นจริงๆ งูมันยังจะอดตาย ! นับประสาอะไรกับคน
ส่งออกตก นำเขาชะลอ ดอลล่าผันผวน มหาภาคถดถอย มันก็กระทบถึงเรา หมอต้องเข้าใจ
รัฐบาลบอกให้อดทน รออีกไม่นาน ตอนนี้ทนไปก่อน
แถวนี้ร้านทำฟันมันเยอะ หมอต้องเข้าใจ รายใหญ่ๆยังตบยุงเลยหมอ
เมื่อคืนดาวโจนมันแดง เช้ามาเปิดตลาดลบสิบจุด ใครจะมีอารมณ์ทำฟัน
แดดร้อนขนาดนี้ นอนตากแอร์อยู่บ้านดีกว่า ออกมาฝ้าก็ ถามหาดิ
หน้าหนาวมัน hi season เขาไปเที่ยวขึ้นดอยกันหมด
โถ่ แฟนนู๋บ่นไม่มีโอทีมาสองเดือนละ ค่ารถยังไม่มีจ่าย ช้อตขนาดนี้มาม่ายังไม่มีแดรกเลย
หมอว่าหมอลำบากหรือ โน่น ห้างตรงสีแยกประกาศปิดกิจการ อพาร์ตเม้นหลังคลินิกประกาศขาย ไอ้อาหารเกาหลีที่หมอว่าจะพาหนูไปเลี้ยงปีใหม่เพิ่งเจ๊งทั้งทีเปิดไม่ถึงสี่เดือน เรานะโอเคแล้วหมอ ยอดน้อยแต่ไม่อดตาย
…..
ก็เลียแผลมันไปแบบนี้ ….. อยู่ 2 ปี 555
20
คลินิกที่ผมเซ้ง ภาพลักษณ์คลินิก คือคลินิกห้องแถวที่ดูไม่ใหม่ ไม่เก่ามาก แต่ไม่หรู
สะอาดอย่างที่ควรจะสะอาดแต่ไม่ได้สะอาดกิ๊กแบบของใหม่ ข้าวของเริ่มเก่าทำให้ทำความสะอาดแค่ไหนก็ดูไม่ได้เนี้ยบ
ภายนอกก็เริ่มโทรม ป้ายคลินิกขนาดใหญ่สีก็เริ่มซีด
ผมควร Renovate ไหม ?
ไม่ !
ไม่งั้นผมก็ลงทุนมากกว่า 4 แสนดิ….. และที่สำคัญผมไม่ค่อยมีเงิน เพราะรายได้ที่หักค่าใช้จ่ายมันก็แค่พอกินพอเก็บ
การที่คลินิกมีรายได้น้อย มันทำให้ผมตัวลีบเล็ก
ผมจำได้ วันที่มีเซลบริษัทดาร์ฟี่มาหาที่คลินิก แล้วมาเสนอวัสดุพิมพ์ปาก Silagum (ตอนนี้ Accord เอาไปขายแทนแล้ว)
ผมอยากได้นะ วัสดุตัวนี้ผมเคยใช้ก่อนที่จะมาเซ๊ง และพี่ๆที่รู้จักก็ใช้หลายคน
ราคาต่อชุด ถ้าจำไม่ผิด พันกลางๆ โปรโมชั่น 5 แถม 1
เซลคนสวยก็เชียร์ให้ซื้อ
ไอ้ผมอยากได้นะ แต่ก็ต้องปฎิเสธไปว่า….
“เผอิญเพิ่งสั่งยี่ห้ออื่นไปล๊อตใหญ่เลย คงอีกนานกว่าจะได้ซื้อเพิ่ม ขอโทษทีนะ”
ผมโกหก ! เพราะอายที่จะบอกว่า ผมไม่มีเงิน ไม่มีปัญญาซื้อทีละเยอะๆ เพราะคลินิกยอดต่ำมาก และงาน Pros ก็แสนจะน้อย
เวลาไปงานประชุมวิชาการ ผมเห็นคุณหมอหลายคนที่คลินิกกำลังรุ่งๆ ซื้อของคลินิกทีละหลายหมื่นถึงแสน
เท่ห์วะ
เราหรือ…..
ซื้อชุดเดียวได้ไหม……
มีแบบ short expire ราคาถูกๆไหม……
ไรแบบนี้
ใจอะ อยากเท่ห์ อยากซื้ออะไรก็ได้ที่อยากซื้อ เอาแบบเพื่อนในรุ่น โอ้โห ไอ้มด ทำไมมึงซื้อเยอะขนาดนี้ คนไข้มึงมหาศาลเลยหรือเนี่ย ส่วนเราก็ยืนกอดอีกเท่ห์ๆ
แต่ในความเป็นจริง …. ไม่มีตังค์
…………..
กลับมาที่ตึก
คือ พอ image ของร้านมันคือคลินิกที่ไม่หรูหรา แอบเก่า มันก็ทำให้”คิดราคาค่าบริการได้ในราคาไม่สูง”
ถ้าคิดสูงใครจะเข้าละ
แต่ผมก็ไม่ได้อยากคิดค่าทำฟันสูงนะ เพราะผมก็นึกไม่ออกว่าถ้าคิดสูงกว่าคนอื่น เข้าจะมาทำฟันกับเราทำไม ในเมื่อภาพลักษณ์เรามันไม่ได้ดีเด่นอะไรเลย
ก็คิดเข้าข้างตัวเอง…ว่าดีเหมือนกันมั้ง เราจะได้คนไข้อีกกลุ่ม คือกลุ่มที่กำลังจ่ายไม่เยอะ ที่มีข้อดีคือ ไม่เรื่องมาก และ ไม่คาดหวังสูง
ก็จริงครับ คนไข้ไม่ค่อยเรื่องมาก ไม่คาดหวังสูง
แต่ขอลดราคาบ่อย ๕๕๕
และมักจะบ่นว่าแพงตลอด ทั้งที่ราคาก็แสนจะถูกแล้ว
ผมมาเรียนรู้ภายหลัง ว่าคนไข้ จะเลือกสถานที่ใช้บริการตามความคาดหวัง
งงไหม
สมมุติ คุณเป็นคนขี้งก ประหยัด ชอบลดชอบต่อ ก็จะไม่ไปใช้ที่ๆดูหรูหราและดูแพง
แต่ถ้าคุณเป็นแนว Perfectionist ต้องหรู ต้องดีที่สุด ราคาไม่สำคัญ ก็ย่อมจะเลือกที่ๆมัน Hiend แพงก็ยอม เช่น โรงพยาบาลเอกชนกลางกรุงเทพ
คนที่มีคลินิกผม ก็ล้วนมาด้วยความคาดหวังว่าจะ “ไม่แพง”
ก็จะมีแต่คนไข้ที่เน้นประหยัด พกเงินมาน้อยและชอบต่อราคามากันเสียส่วนใหญ่ ก็ได้ประสบการณ์อีกแบบ …..
ก็ได้ข้อสรุปว่า ตกแต่งร้านแบบไหน(ภาพลักษาณ์) ก็ได้คนไข้แบบนั้น
เซ้งอะไรมา ก็จะกำหนดอะไรไม่ได้นะ เพราะภาพลักษณ์มันผูกติดมาด้วยเรียบร้อย (นอกจากจะ renovate ใหม่หมด ซึ่งผิดจุดประสงค์ของการเซ้งเพราะอยากประหยัด)
ปล.เพิ่งหายเหนื่อยจากการจัดคอร์สเมื่อวันที่ 29-30 ที่ผ่านมา ก็เลยทำให้ขาดตอนไปช่วงหนึ่ง ขอโทษด้วยๆ ตอนนี้มาต่อละ ๕๕๕
21
เกี่ยวกับค่าทำฟัน (อาจจะเน้นเรื่องจัดฟัน ที่ชอบลดราคากันนะครับ)
แฟนเพจถามว่า ไอ้สถานการณ์ที่ราคาจัดฟันแข่งขันกันลดราคา
ส่งผลเสียหลายอย่าง
เช่น พอมีคลินิกเปิดใหม่ทำโปรฯลดราคา คนไข้มักจะแห่ไปร้านที่เปิดใหม่ ร้านอื่นๆที่รายล้อมก็ส่งผลกระทบโดยตรงคือคนไข้ใหม่ๆหายหมด
ดูแล้ว เหมือนคนไข้เองก็ชอบของถูกเสียด้วย….
………………………
พอมีการลดราคา และทำราคาแบบสาละวันเตี้ยลงๆ แถมลด แลก แจกแถม ทำให้เกิดผลเสียตามมาหลายอย่าง
1. Standard of price
ของที่จากเดิมเคยขายได้ราคา 100 บาท แล้วพอเกิดการแข่งขัน โดยแต่ละเจ้าลดกำไร ลดต้นทุนแล้วทำราคาที่ถูกลง เช่นลดลงเหลือ 65 บาท แล้วทำกันทุกๆคนคือ ลดราคาจาก 100 เหลือ 70 บ้าง 65 บ้าง
มันจะก่อให้เกิดราคาเฉลี่ยใหม่ที่ต่ำลง
ทีนี้จะเกิดปัญหา คือไม่สามารถกลับไปขายราคาเก่า คือที่ 100 บาทได้อีก เพราะลูกค้าเคยชินกับราคาใหม่(ที่ถูกลง)ไปแล้ว
ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยกับสินค้าและบริการที่หาความต่างได้ยาก แต่ละรายไม่มีจุดเด่น
2.ลูกค้าไม่เชื่อใจในราคา
พอคลินิก “ลดราคาง่ายๆ” มันก็ทำให้ฝั่งลูกค้าไม่เชื่อใจกับราคาที่ตั้งไว้
เคยขาย 100 บาท แต่วันดีคืนดีก็ลดราคาเหลือ 70 บาทซะงั้น
ลูกค้าได้ความรู้ใหม่ ว่าจริงๆแล้วผู้ขาย ขายในราคา 70 บาทก็ได้นินา…..แปลว่าที่ผ่านมาขายกันแพงน่าดูเลยนะเนี่ย
ขาย 70 ก็ยังได้…ยังมีกำไร….หรือจริงๆลดราคาลงเหลือสัก 60 ก็น่าจะได้…..
และพอตั้ง 70 ก็ยังจะโดนต่อเหลือ 60 เพราะไม่เชื่อในราคาที่เราตั้งอีกแล้ว
สรุปคือ ลูกค้าไม่มี trust ต่อราคาของเราอีกแล้ว เพราะไร้ซึ่งความไว้วางใจกัน
ยกตัวอย่าง คือการไปซื้อของที่เมืองจีน ตามแหล่งท่องเที่ยว
ของติดราคาไว้ 10 หยวน
พอต่อราคาไป 4 หยวน….คนขายรีบใส่ถุงยื่นให้ทันที !
กล้าซื้ออยู่ไหม ?
มั่นใจว่ามันควรจะราคา 4 หยวน หรือเปล่า ?
ทำให้ลูกค้าต้องมาเหนื่อยและเครียดกับการมาต่อราคา เพราะไร้ซึ่ง trust ต่อผู้ขาย และลุกลามไปถึงความไม่มั่นใจในคุณภาพของสินค้าอีกด้วย
3.คุณค่าถูกทำลาย
ส่วนใหญ่ คลินิกทันตกรรมชอบจัดโปรโมชั่นยอดฮิต
คือ แถม รีเทนเนอร์ พิมพ์ปาก และเอ๊กเรย์
แถมฟรีๆ
หลายแห่งฟรี……ชนิด ตลอดปี ตลอดไป ทุกชาติภพ
สามสิ่งนี้(รีเทนเนอร์ พิมพ์ปาก และเอ๊กเรย์) จะกลายเป็นของ “ไร้ค่า” สำหรับคนไข้ไปในที่สุด
เพราะเป็นของที่ “เคยขายได้ราคา” แต่วันนี้พวกเราเอามา “แจกฟรี”
อันนี้ แย่กว่าการ “ไม่เชื่อใจในราคา” แบบที่กล่าวมาในข้อ 2
คือคนไข้ “ไม่เห็นคุณค่าของสินค้าและบริการ”เลยทีเดียว
และในอนาคตของที่ “แจกฟรี” จะไม่สามารถเอามาขายได้อีก
เพราะฉะนั้น อนาคตเราจะพบว่า ต่อให้ตั้งราคารีเทนเนอร์ไว้แค่ 800 บาท ก็จะโดนมองว่าแพงในที่สุด
……………..
นี่คือบางส่วนของผลที่ตามมาของการลดราคา และจัดโปรโมชั่นแบบไร้กลยุทธ
สาเหตุก็มาจากการพยายามแข่งขันกันของหมอๆเราเอง คืออยากรอดใน red ocean โดยการทำให้ ocean มัน red ยิ่งขึ้น
อีกประเด็นที่น่าตั้งคำถามคือ หมอๆเราเห็นคุณค่าของการทำฟันแค่ไหน…..?
ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
ว่าพวกเรา…..หมอฟัน
เรายังมองการทำฟันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าหรือเปล่า ???
22 (ตอนจบ)
เกี่ยวกับประสบการณ์ การเซ้งคลินิก ผมก็ไม่มีอะไรจะเล่าต่อแล้ว
ผมเป็นแค่หนึ่งในทันตแพทย์หลายๆคนในวงการที่เคยมีประสบการณ์ “การเซ้งคลินิก”
บางคนอาจจะโชคดี ไปได้สวย
บางคนได้มา…ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คาด
ส่วนประสบการณ์ของผม ถือว่าไม่ได้ดีมาก หรือ แย่มาก แต่ก็จบด้วยการขายต่อ แล้วหาลู่ทางอื่นๆ
การที่เราเซ๊งคลินิกมาแห่งหนึ่งแล้วสมมุติว่าไม่ประสบความสำเร็จ จริงไหมที่คลินิกนั้นห่วยแตกตั้งแต่แรก ?
ถ้าคิดแบบนั้น ผมว่าเป็นการโทษปัจจัยเดียวเกินไป
มันยังมีปัจจัยของ “ตัวเราเอง” ด้วยเช่นกัน
ว่าเรามีความสามารถแค่ไหน เป็นการตลาดไหม ?
ทุ่มเทให้กับคลินิกเพียงใด ?
ยังมีเรื่องของจังหวะและเวลาด้วย (timing)
สมมุติว่า ณ วันนี้ผมกลับไปอยู่สถานการณ์ต้องเซ้งคลินิกแบบเดิม ผมน่าจะประสบความสำเร็จมากกว่าตอนนั้น (อย่างน้อยในระดับหนึ่ง)
เพราะทักษะการทำฟันผมสูงขึ้น การรับมือกับคนไข้ก็ดีขึ้น และมีความรู้ด้านการตลาดเป็นอาวุธ (ที่ไม่เคยมีมาก่อน) รวมถึงทักษะในการบริหารคนด้วยเช่นกัน
เพราะฉะนั้น เซ้งคลินิกมาแล้วจะไปได้สวยแค่ไหน ? ย่อมจะต้องดูตัวเองด้วย ว่าเรามีศักยภาพเพียงใด
ตัวผมในวันนั้น เป็นแค่หมอฟันที่เพิ่งจบไม่นาน ทำฟันได้แค่งานทั่วไป งานไหนยากๆก็ไม่มีปัญญาที่จะรับมือ ความรู้การตลาดเป็น 0 คิดแล้วก็ไม่แปลกที่ผมไปได้ไม่ไกล
เซ้งคลินิก นั้นถือเป็นแนวทางการเปิดคลินิกที่สะดวกที่สุด
แต่บริหารรอดไหม
เปิดแล้วทำให้เกิดกำไรไหม
นั่นเป็นอีกเรื่อง
มีสิ่งใดสงสัยอยากแลกเปลี่ยน เชิญได้นะครับ